หมดฝน! 5 จุดต้องเช็ครถ หลังลุยน้ำมาทั้งซีซั่น
เมื่อฤดูฝนที่ยาวนานสิ้นสุดลง การดูแลรักษารถยนต์เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการใช้งานอย่างหนักท่ามกลางสายฝนและสภาพถนนที่มีน้ำท่วมขัง การทำความเข้าใจว่า หมดฝน! 5 จุดต้องเช็ครถ หลังลุยน้ำมาทั้งซีซั่น จึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการบำรุงรักษารถยนต์ให้มีสภาพพร้อมใช้งาน ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยสำหรับการขับขี่ในทุกสภาวะอากาศที่กำลังจะมาถึง การตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนไม่เพียงแต่ช่วยยืดอายุการใช้งานของส่วนประกอบต่างๆ แต่ยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงที่อาจบานปลายได้ในอนาคต
ประเด็นสำคัญของการดูแลรักษารถยนต์หลังสิ้นสุดฤดูฝน
- การตรวจสอบระบบเบรก: ความชื้นและน้ำเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสนิมในชิ้นส่วนโลหะของระบบเบรก ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพและอาจเพิ่มระยะเบรกให้ยาวขึ้นจนเป็นอันตราย
- ทัศนวิสัยในการขับขี่: ยางปัดน้ำฝนที่ผ่านการใช้งานมาตลอดฤดูฝนอาจเสื่อมสภาพ และระบบน้ำฉีดกระจกอาจมีสิ่งอุดตัน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นที่ชัดเจน
- ประสิทธิภาพของยางรถยนต์: การขับขี่บนถนนเปียกลื่นและการลุยน้ำขังอาจส่งผลต่อสภาพยาง ทั้งรอยรั่วซึม การสึกหรอ และแรงดันลมยางที่ไม่เหมาะสม ซึ่งกระทบต่อการยึดเกาะถนน
- ความสมบูรณ์ของระบบไฟ: ความชื้นสามารถสร้างความเสียหายให้กับระบบไฟส่องสว่างและไฟสัญญาณต่างๆ ทำให้การสื่อสารกับรถคันอื่นบนท้องถนนขาดประสิทธิภาพและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
- การป้องกันความเสียหายระยะยาว: การตรวจสอบและบำรุงรักษาเชิงป้องกันหลังฤดูฝน ช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาที่ซ่อนเร้น เช่น สนิมใต้ท้องรถ ความชื้นในห้องโดยสาร หรือการปนเปื้อนในของเหลวของเครื่องยนต์
การเปลี่ยนผ่านจากฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาวหรือฤดูแล้ง ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการประเมินสภาพรถยนต์อย่างละเอียดตลอดทั้งคัน ความเสียหายที่เกิดจากน้ำและความชื้นมักไม่แสดงอาการในทันที แต่อาจค่อยๆ สะสมและส่งผลกระทบในระยะยาว การละเลยการตรวจสอบจุดสำคัญต่างๆ อาจนำไปสู่ปัญหาที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูงในการแก้ไข ผู้ขับขี่ทุกคนจึงควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบเบื้องต้น เพื่อให้แน่ใจว่ายานพาหนะของตนอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และปลอดภัยพร้อมสำหรับการเดินทางในทุกเส้นทาง
การบำรุงรักษารถยนต์หลังฤดูฝนไม่ใช่เป็นเพียงแค่การทำความสะอาดภายนอก แต่เป็นการตรวจสอบเชิงลึกเพื่อค้นหาและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดจากความชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานและความปลอดภัยของรถยนต์
ความสำคัญของการตรวจสภาพรถยนต์หลังฤดูฝน

ตลอดช่วงฤดูฝน รถยนต์ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ตั้งแต่การขับผ่านแอ่งน้ำขัง, การเผชิญกับโคลนและเศษดิน, ไปจนถึงความชื้นในอากาศที่สูงอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อส่วนประกอบต่างๆ ของรถยนต์ทั้งทางตรงและทางอ้อม น้ำและโคลนสามารถแทรกซึมเข้าไปในชิ้นส่วนเครื่องกลและระบบอิเล็กทรอนิกส์ ก่อให้เกิดสนิม, การกัดกร่อน, และการลัดวงจรได้ ขณะที่ความชื้นในอากาศก็สามารถส่งผลต่อระบบไฟฟ้าและสร้างความเสียหายภายในห้องโดยสารได้เช่นกัน
ดังนั้น การตรวจเช็คสภาพรถยนต์หลังสิ้นสุดฤดูฝนจึงเปรียบเสมือนการตรวจสุขภาพประจำปีสำหรับรถยนต์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อค้นหาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นและดำเนินการแก้ไขก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม การตรวจสอบนี้ครอบคลุมตั้งแต่ระบบที่มีความสำคัญต่อความปลอดภัยโดยตรง เช่น ระบบเบรกและยางรถยนต์ ไปจนถึงระบบอำนวยความสะดวกและส่วนประกอบอื่นๆ ที่ช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างราบรื่น การลงทุนเวลาเพียงเล็กน้อยในการตรวจสอบ สามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมครั้งใหญ่ และที่สำคัญคือช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากความบกพร่องของอุปกรณ์ได้
เจาะลึก: 5 จุดต้องเช็ครถ หลังลุยน้ำมาทั้งซีซั่น
เพื่อให้การตรวจสอบมีประสิทธิภาพสูงสุด ควรดำเนินการอย่างเป็นระบบตามลำดับความสำคัญ โดยเน้นที่ส่วนประกอบที่ได้รับผลกระทบจากน้ำและความชื้นโดยตรง 5 จุดตรวจสอบหลักต่อไปนี้เป็นแนวทางที่ครอบคลุมและจำเป็นสำหรับรถยนต์ทุกคันที่ผ่านการใช้งานในฤดูฝน
1. ระบบเบรก: ปราการด่านแรกของความปลอดภัยที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ
ระบบเบรกเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดต่อความปลอดภัยในการขับขี่ และเป็นหนึ่งในระบบที่ได้รับผลกระทบจากน้ำและความชื้นมากที่สุด ชิ้นส่วนหลักของระบบเบรก เช่น จานเบรก, คาลิปเปอร์ และดรัมเบรก ส่วนใหญ่ทำจากโลหะซึ่งไวต่อการเกิดสนิมเมื่อสัมผัสกับน้ำเป็นเวลานาน
ความเสี่ยงและผลกระทบ: เมื่อจานเบรกเกิดสนิม จะทำให้ผิวสัมผัสกับผ้าเบรกขรุขระและไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเบรกลดลง เกิดเสียงดังขณะเบรก และอาจทำให้พวงมาลัยสั่นได้ ในกรณีที่รุนแรง สนิมอาจกัดกร่อนจนทำให้จานเบรกบางลงและเสี่ยงต่อการแตกหัก นอกจากนี้ ความชื้นยังสามารถเข้าไปปนเปื้อนในน้ำมันเบรก ทำให้น้ำมันเบรกเสื่อมสภาพและมีจุดเดือดต่ำลง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเบรกไม่อยู่ (Brake Fade) เมื่อใช้งานเบรกหนักๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน
วิธีการตรวจสอบและบำรุงรักษา:
- การไล่ความชื้นเบื้องต้น: หลังจากขับรถลุยน้ำ ควรทำการไล่ความชื้นออกจากระบบเบรกโดยการเหยียบเบรกเบาๆ ย้ำๆ กันหลายครั้ง ความร้อนที่เกิดจากการเสียดสีจะช่วยระเหยความชื้นออกจากผ้าเบรกและจานเบรกได้ สำหรับรถยนต์เกียร์ธรรมดา การเหยียบคลัตช์และเบรกสลับกันก็ช่วยได้เช่นกัน
- การตรวจสอบด้วยสายตา: สังเกตที่จานเบรก หากพบสนิมเป็นแผ่นหนาหรือมีรอยกัดกร่อนลึก ควรนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อทำการประเมินหรือเจียรจานเบรก
- สังเกตอาการผิดปกติ: ขณะขับขี่ ให้สังเกตอาการต่างๆ เช่น เสียงดังผิดปกติขณะเบรก, แป้นเบรกจมลึกกว่าปกติ, หรือรถมีอาการปัดขณะเบรก อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนว่าระบบเบรกอาจมีปัญหา
2. ระบบทัศนวิสัย: กระจกและที่ปัดน้ำฝน
ทัศนวิสัยที่ชัดเจนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการขับขี่อย่างปลอดภัย ตลอดฤดูฝนที่ผ่านมา ระบบปัดน้ำฝนและน้ำฉีดกระจกต้องทำงานอย่างหนักเพื่อกำจัดคราบน้ำ โคลน และสิ่งสกปรกต่างๆ
ความเสี่ยงและผลกระทบ:
- ยางปัดน้ำฝน: การใช้งานต่อเนื่องร่วมกับการสัมผัสแสงแดดและความร้อน ทำให้เนื้อยางเสื่อมสภาพ แข็งกระด้าง หรือฉีกขาด ส่งผลให้ปัดน้ำได้ไม่เกลี้ยง เกิดเป็นเส้นหรือฝ้าบนกระจก บดบังทัศนวิสัยโดยเฉพาะในเวลากลางคืนหรือเมื่อมีแสงไฟส่องกระทบ
- กระปุกน้ำฉีดกระจก: การใช้แค่น้ำเปล่าเติมในกระปุกอาจไม่เพียงพอต่อการทำความสะอาดคราบโคลนหรือคราบแมลงที่เกาะแน่น นอกจากนี้ หัวฉีดน้ำอาจเกิดการอุดตันจากตะกรันหรือเศษสิ่งสกปรก ทำให้น้ำฉีดออกมาไม่สม่ำเสมอหรือไม่ทั่วถึง
วิธีการตรวจสอบและบำรุงรักษา:
- ตรวจสอบสภาพยางปัดน้ำฝน: ลองยกก้านปัดน้ำฝนขึ้นและใช้นิ้วลูบไปตามขอบยาง หากรู้สึกว่ายางแข็งกระด้าง มีรอยแตก หรือฉีกขาด ควรเปลี่ยนใหม่ทันที โดยทั่วไปยางปัดน้ำฝนมีอายุการใช้งานประมาณ 1 ปี
- ทำความสะอาดยางปัดน้ำฝน: ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำหมาดๆ เช็ดทำความสะอาดตามแนวยาวของใบปัด เพื่อกำจัดคราบสกปรกที่เกาะอยู่ ซึ่งจะช่วยให้การปัดเรียบขึ้น
- ตรวจสอบระดับน้ำฉีดกระจก: เปิดฝากระโปรงรถและตรวจสอบระดับน้ำในกระปุก หากระดับน้ำต่ำควรเติมให้เต็ม โดยแนะนำให้ใช้น้ำยาสำหรับล้างกระจกรถยนต์โดยเฉพาะ ซึ่งมีคุณสมบัติในการขจัดคราบได้ดีกว่าน้ำเปล่า
- ทดสอบการทำงานของหัวฉีด: ลองฉีดน้ำล้างกระจกและสังเกตทิศทางและการกระจายของน้ำ หากหัวฉีดอุดตัน สามารถใช้เข็มหรือปลายลวดเล็กๆ ค่อยๆ ทะลวงสิ่งอุดตันออกได้
3. สภาพยางรถยนต์: จุดสัมผัสเดียวระหว่างรถกับถนน
ยางรถยนต์เป็นส่วนประกอบเดียวที่สัมผัสกับพื้นถนนโดยตรง และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมรถและการยึดเกาะถนน โดยเฉพาะบนถนนที่เปียกลื่น การขับขี่ในฤดูฝนอาจทำให้ยางต้องเผชิญกับความท้าทายมากกว่าปกติ
ความเสี่ยงและผลกระทบ: ถนนในช่วงฤดูฝนมักมีน้ำท่วมขังซึ่งอาจบดบังหลุมบ่อหรือสิ่งกีดขวาง การขับรถตกหลุมอย่างแรงอาจทำให้โครงสร้างยางเสียหาย เกิดอาการบวม หรือทำให้ศูนย์ล้อผิดเพี้ยนได้ นอกจากนี้ สภาพถนนที่เปียกและมีเศษหินดินทราย อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกของมีคมทิ่มตำจนเกิดการรั่วซึมได้ การที่ดอกยางสึกหรอจนถึงระดับที่ไม่ปลอดภัย จะลดประสิทธิภาพในการรีดน้ำและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเหินน้ำ (Hydroplaning) ซึ่งทำให้รถสูญเสียการควบคุม
วิธีการตรวจสอบและบำรุงรักษา:
- ตรวจเช็คความลึกของดอกยาง: สังเกตสะพานยาง (Tread Wear Indicator) ที่อยู่ในร่องดอกยาง หากผิวของดอกยางสึกจนอยู่ในระดับเดียวกับสะพานยาง แสดงว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนยางเส้นใหม่
- ตรวจสอบสภาพโดยรวม: เดินสำรวจรอบยางทั้งสี่เส้น มองหาร่องรอยความเสียหาย เช่น รอยบาด, รอยแตก, อาการบวมปูดบริเวณแก้มยาง หรือมีวัตถุแปลกปลอมฝังอยู่ในเนื้อยาง
- วัดแรงดันลมยาง: ควรเช็คลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง และเติมลมให้อยู่ในระดับที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำ (สามารถดูได้จากสติกเกอร์บริเวณเสาประตูฝั่งคนขับ) แรงดันลมยางที่เหมาะสมจะช่วยให้หน้ายางสัมผัสพื้นถนนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
4. ระบบไฟส่องสว่างและไฟสัญญาณ: การสื่อสารบนท้องถนน
ระบบไฟทั้งหมดของรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว หรือไฟเบรก ทำหน้าที่สำคัญสองประการ คือ ส่องสว่างเส้นทางในสภาวะแสงน้อย และใช้เป็นสัญญาณสื่อสารกับผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ความชื้นจากฝนเป็นศัตรูตัวฉกาจของระบบไฟฟ้า
ความเสี่ยงและผลกระทบ: น้ำและความชื้นสามารถแทรกซึมเข้าไปในโคมไฟผ่านซีลยางที่เสื่อมสภาพ ทำให้เกิดฝ้าหรือหยดน้ำเกาะอยู่ภายใน ซึ่งจะลดความสว่างของหลอดไฟและอาจทำให้ขั้วหลอดเกิดสนิมหรือเกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ การที่ไฟสัญญาณดวงใดดวงหนึ่งไม่ทำงาน เช่น ไฟเบรกหรือไฟเลี้ยว จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้อย่างมาก เนื่องจากรถคันอื่นไม่สามารถคาดเดาการกระทำของผู้ขับขี่ได้
วิธีการตรวจสอบและบำรุงรักษา:
- ทำการตรวจสอบรอบคัน: ขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่สองในการตรวจสอบการทำงานของไฟทุกดวง เริ่มจากไฟหน้า (ไฟต่ำ, ไฟสูง), ไฟหรี่, ไฟเลี้ยว (ซ้าย-ขวา), ไฟฉุกเฉิน, ไฟท้าย, และที่สำคัญคือไฟเบรก (โดยให้อีกคนเหยียบแป้นเบรก)
- สังเกตความผิดปกติ: มองหาฝ้าหรือหยดน้ำภายในโคมไฟ หากพบแสดงว่าซีลยางอาจชำรุดและควรนำไปแก้ไข นอกจากนี้ ควรสังเกตความสว่างของหลอดไฟ หากหลอดใดมีความสว่างน้อยกว่าปกติ อาจเป็นสัญญาณว่าใกล้จะขาด
- ทำความสะอาดโคมไฟ: คราบโคลนและสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่บนโคมไฟจะบดบังความสว่าง ควรใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์และน้ำยาทำความสะอาดที่เหมาะสมเช็ดโคมไฟให้ใสอยู่เสมอ
5. การตรวจสอบของเหลวและสภาพภายในห้องเครื่อง
แม้ว่าห้องเครื่องจะได้รับการออกแบบมาให้ป้องกันน้ำได้ในระดับหนึ่ง แต่การขับลุยน้ำท่วมสูงหรือการฉีดล้างที่ไม่ถูกวิธี อาจทำให้น้ำเล็ดลอดเข้าไปสร้างความเสียหายได้
ความเสี่ยงและผลกระทบ: น้ำที่เข้าไปในห้องเครื่องอาจสร้างความเสียหายให้กับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น กล่องควบคุม (ECU) หรือเซ็นเซอร์ต่างๆ นอกจากนี้ หากน้ำสามารถเข้าไปปนเปื้อนในระบบของเหลว เช่น น้ำมันเครื่องหรือน้ำมันเกียร์ จะทำให้ประสิทธิภาพการหล่อลื่นลดลงอย่างมากและนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรงของเครื่องยนต์หรือระบบเกียร์ได้
วิธีการตรวจสอบและบำรุงรักษา:
- ตรวจสอบระดับและสีของน้ำมันเครื่อง: ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมาเช็ดให้สะอาด แล้วเสียบกลับเข้าไปจนสุดก่อนจะดึงออกมาดูอีกครั้ง ระดับน้ำมันควรอยู่ระหว่างขีด Min และ Max สังเกตสีของน้ำมัน หากมีสีขุ่นคล้ายสีกาแฟนม อาจเป็นสัญญาณว่ามีน้ำเข้าไปปนเปื้อน ควรนำรถเข้าตรวจสอบโดยด่วน
- ตรวจสอบของเหลวอื่นๆ: ตรวจสอบระดับน้ำมันเบรก, น้ำมันเกียร์ (สำหรับรถบางรุ่น), และน้ำยาหล่อเย็นในหม้อพัก ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
- สำรวจสภาพโดยรวมในห้องเครื่อง: มองหาสิ่งแปลกปลอม เช่น ใบไม้หรือเศษขยะที่อาจถูกพัดเข้ามาติดอยู่ตามซอกต่างๆ ซึ่งอาจกีดขวางการระบายความร้อน ตรวจสอบสภาพสายไฟว่ามีร่องรอยการกัดแทะของสัตว์หรือไม่
สรุปตารางการตรวจสอบรถยนต์หลังฤดูฝน
จุดที่ต้องตรวจสอบ | ความเสี่ยงหลักจากความชื้น | สัญญาณเตือนที่ควรสังเกต | การดำเนินการที่แนะนำ |
---|---|---|---|
ระบบเบรก | การเกิดสนิมบนจานเบรก, การปนเปื้อนในน้ำมันเบรก | เสียงดังขณะเบรก, เบรกแล้วรถสั่นหรือปัด, แป้นเบรกนิ่มหรือจมลึก | ไล่ความชื้นหลังลุยน้ำ, ตรวจสอบสภาพจานเบรก, นำรถเข้าตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญหากมีอาการผิดปกติ |
ระบบทัศนวิสัย | ยางปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ, หัวฉีดน้ำอุดตัน | ปัดน้ำไม่เกลี้ยง, มีเสียงดังขณะใบปัดทำงาน, น้ำฉีดกระจกออกมาไม่สม่ำเสมอ | ทำความสะอาดหรือเปลี่ยนยางปัดน้ำฝน, เติมน้ำยาล้างกระจก, ใช้เข็มทำความสะอาดหัวฉีด |
สภาพยางรถยนต์ | การสึกหรอของดอกยาง, ความเสียหายจากหลุมบ่อ, แรงดันลมยางไม่เหมาะสม | ดอกยางตื้น, มีรอยแตกหรือบวมที่แก้มยาง, พวงมาลัยสั่น | ตรวจสอบความลึกดอกยาง, ตรวจหารอยรั่วซึมหรือความเสียหาย, เช็คแรงดันลมยางเป็นประจำ |
ระบบไฟส่องสว่าง | ความชื้นเข้าโคมไฟ, ขั้วต่อเกิดสนิม, ไฟฟ้าลัดวงจร | มีฝ้าหรือหยดน้ำในโคมไฟ, ไฟไม่ติด, ไฟกะพริบ, ความสว่างลดลง | ตรวจสอบการทำงานของไฟทุกดวง, ทำความสะอาดโคมไฟ, หากมีน้ำเข้าควรนำไปแก้ไขซีลยาง |
ของเหลวและห้องเครื่อง | น้ำปนเปื้อนในน้ำมันเครื่อง/เกียร์, ความเสียหายของระบบอิเล็กทรอนิกส์ | น้ำมันเครื่องมีสีเหมือนกาแฟนม, ไฟเตือนรูปเครื่องยนต์แสดงขึ้น, เครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ | ตรวจสอบสีและระดับของเหลว, สำรวจความสะอาดในห้องเครื่อง, หากสงสัยว่ามีน้ำปนเปื้อนให้หยุดใช้งานและปรึกษาช่าง |
สรุป: การเตรียมความพร้อมเพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยในฤดูถัดไป
การสิ้นสุดของฤดูฝนเป็นสัญญาณเตือนให้เจ้าของรถยนต์หันมาใส่ใจกับการบำรุงรักษายานพาหนะของตนเองอย่างจริงจัง การตรวจสอบ 5 จุดสำคัญที่ได้กล่าวมาข้างต้น ซึ่งประกอบด้วย ระบบเบรก, ระบบทัศนวิสัย, สภาพยางรถยนต์, ระบบไฟส่องสว่าง, และสภาพโดยรวมของห้องเครื่อง เป็นขั้นตอนพื้นฐานแต่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับมือกับความเสียหายที่อาจเกิดจากน้ำและความชื้นสะสมมาตลอดทั้งซีซั่น
การดำเนินการตรวจสอบและบำรุงรักษาเชิงป้องกันไม่เพียงแต่ช่วยคืนสภาพความสมบูรณ์ให้กับรถยนต์ แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ การตรวจพบปัญหาเล็กๆ น้อยๆ และรีบแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่าการปล่อยทิ้งไว้จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการซ่อมแซม ดังนั้น การนำรถยนต์เข้าตรวจเช็คโดยละเอียดกับผู้เชี่ยวชาญหลังผ่านฤดูฝน จึงเป็นทางเลือกที่แนะนำเพื่อสร้างความมั่นใจสูงสุดในการขับขี่สำหรับฤดูกาลต่อไป