ครม.จ่อขึ้นภาษีไฮบริด! กระทบราคารถรุ่นไหนบ้าง?
- สรุปประเด็นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงภาษี
- ทำความเข้าใจการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ไฮบริดปี 2568
- เจาะลึกโครงสร้างภาษีใหม่: จากขนาดถังน้ำมันสู่ระยะทางไฟฟ้า
- วิเคราะห์ผลกระทบ: รุ่นรถที่คาดว่าจะต้องจ่ายเพิ่ม
- อีกด้านของเหรียญ: แผนลดภาษีรถ HEV และทิศทางอุตสาหกรรม
- เปรียบเทียบโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ไฮบริด
- บทสรุปและข้อแนะนำสำหรับผู้ที่วางแผนซื้อรถ
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ครั้งสำคัญกำลังจะเกิดขึ้น โดยมีข่าวว่า ครม.จ่อขึ้นภาษีไฮบริด! กระทบราคารถรุ่นไหนบ้าง? กลายเป็นคำถามที่อยู่ในความสนใจของผู้บริโภคและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ การปรับปรุงครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การจัดเก็บภาษีรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ใหม่ โดยเปลี่ยนเกณฑ์การคำนวณจากขนาดถังน้ำมันไปเป็นระยะทางการวิ่งด้วยไฟฟ้า (Electric Range) ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2568 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่เพียงส่งผลต่อราคารถยนต์บางรุ่น แต่ยังสะท้อนถึงทิศทางนโยบายของภาครัฐที่ต้องการส่งเสริมเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
สรุปประเด็นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงภาษี
- การปรับเกณฑ์ภาษีสำหรับรถ PHEV: รัฐบาลเตรียมยกเลิกการใช้ขนาดถังน้ำมันเป็นเกณฑ์คำนวณภาษีสำหรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และหันมาใช้ระยะทางการวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้า (Electric Range) เป็นตัวกำหนดอัตราภาษีแทน
- ผลกระทบต่อราคา: รถยนต์ PHEV ที่มีระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด (เบื้องต้นคาดว่าอยู่ที่ 80 กิโลเมตร) อาจมีภาระภาษีสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาจำหน่ายปลีกปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วยตั้งแต่ปี 2568
- การส่งเสริมรถ HEV: ในขณะเดียวกัน มีแผนเสนอให้ปรับลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฮบริด (HEV) ทั่วไป เพื่อกระตุ้นตลาดและส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ
- เป้าหมายเชิงนโยบาย: การปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติในการผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์ไฟฟ้า (EV Hub) ในภูมิภาค ส่งเสริมนวัตกรรม และสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรม
ทำความเข้าใจการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ไฮบริดปี 2568

การพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนับเป็นก้าวสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อภูมิทัศน์ของตลาดยานยนต์ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีไฮบริด การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลมาจากการประเมินและวางแผนเชิงกลยุทธ์ของภาครัฐ เพื่อให้โครงสร้างภาษีสอดคล้องกับพัฒนาการทางเทคโนโลยีของโลกและเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ
เหตุผลและความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลง
เหตุผลหลักเบื้องหลังการปฏิรูปภาษีครั้งนี้คือการทำให้ระบบการจัดเก็บภาษีสะท้อนถึงประสิทธิภาพและคุณสมบัติด้านสิ่งแวดล้อมของรถยนต์แต่ละประเภทได้อย่างแท้จริง โครงสร้างภาษีเดิมที่อ้างอิงขนาดถังน้ำมันสำหรับรถยนต์ PHEV ถูกมองว่ามีช่องว่างและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ในการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากผู้ผลิตบางรายอาจออกแบบรถยนต์ให้มีถังน้ำมันขนาดเล็กเพื่อให้เสียภาษีในอัตราที่ต่ำ โดยที่เทคโนโลยีแบตเตอรี่และระยะทางการวิ่งด้วยไฟฟ้าอาจไม่ได้มีประสิทธิภาพสูงตามที่ควรจะเป็น
ดังนั้น การเปลี่ยนมาใช้ “ระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้า (Electric Range)” เป็นเกณฑ์หลัก จึงเป็นแนวทางที่ตรงจุดกว่า เพราะเป็นการวัดประสิทธิภาพของเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดโดยตรง ส่งเสริมให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องพัฒนาแบตเตอรี่และระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าให้มีสมรรถนะสูงขึ้น เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งท้ายที่สุดแล้วประโยชน์จะตกอยู่ที่ผู้บริโภคที่จะได้ใช้รถยนต์ที่มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ การปรับเกณฑ์ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในเวทีโลกอีกด้วย
กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก: