เคาะแล้ว! ลดหย่อนภาษีรถ EV ปี 69 เช็กเงื่อนไขก่อนซื้อ
- สรุปประเด็นสำคัญของมาตรการ EV ปี 2569
- ภาพรวมมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าฉบับใหม่
- เจาะลึกเงื่อนไขภาษีรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละประเภทในปี 2569
- เงื่อนไขสำคัญที่ต้องรู้: การใช้ชิ้นส่วนในประเทศ
- สิทธิประโยชน์สำหรับบุคคลธรรมดา: การเช่ารถยนต์ไฟฟ้า
- เช็กลิสต์สำคัญก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าปี 2569
- บทสรุปและแนวทางการเตรียมตัว
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ฉบับใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2569 โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ และกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากการใช้รถยนต์สันดาปไปสู่ยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น มาตรการดังกล่าวครอบคลุมทั้งการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิต เงินอุดหนุน และสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับผู้บริโภค
สรุปประเด็นสำคัญของมาตรการ EV ปี 2569
- ปรับลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ไฟฟ้า (BEV): อัตราภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ล้วน (BEV) ลดลงเหลือ 2% จากเดิม 8% พร้อมลดภาษีนำเข้าชิ้นส่วนแบตเตอรี่ที่สำคัญเป็น 0% เพื่อลดต้นทุนการผลิต
- กำหนดเกณฑ์ภาษีใหม่สำหรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV): อัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถ PHEV จะอยู่ที่ 5% หากมีระยะการวิ่งด้วยไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 80 กิโลเมตร และมีขนาดถังน้ำมันไม่เกิน 45 ลิตร หากไม่เข้าเงื่อนไข จะเสียภาษีในอัตรา 10%
- เงื่อนไขการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ: รถยนต์ไฮบริด (HEV) และ PHEV จะต้องใช้ชิ้นส่วนแบตเตอรี่ที่ผลิตหรือประกอบในประเทศตั้งแต่ปี 2569 และชิ้นส่วนสำคัญอื่นๆ ตั้งแต่ปี 2571 เพื่อได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
- เงินอุดหนุนการซื้อรถ EV: รัฐบาลยังคงให้เงินอุดหนุนสำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสูงสุด 150,000 บาท (สำหรับรถที่มีขนาดแบตเตอรี่เกิน 30 kWh) ในช่วง 2 ปีแรกของมาตรการ
- สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับผู้เช่า EV: บุคคลธรรมดาที่เช่ายานยนต์ไฟฟ้าสามารถนำค่าเช่าไปลดหย่อนภาษีเงินได้สูงสุด 30,000 บาท ในช่วงเวลาที่กำหนด โดยต้องมีหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์
เคาะแล้ว! ลดหย่อนภาษีรถ EV ปี 69 เช็กเงื่อนไขก่อนซื้อ ถือเป็นข้อมูลสำคัญที่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องทำความเข้าใจอย่างละเอียด มติคณะรัฐมนตรีล่าสุดได้อนุมัติมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าชุดใหม่สำหรับปี 2569 ซึ่งเป็นการปรับปรุงและต่อยอดจากมาตรการเดิม เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาค มาตรการนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อราคาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ แต่ยังกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมในระยะยาวผ่านเงื่อนไขการผลิตและการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจของผู้ที่กำลังวางแผนซื้อรถยนต์คันใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้
ภาพรวมมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าฉบับใหม่

มาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าฉบับใหม่นี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมทั้งด้านอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ไปพร้อมกัน ในด้านอุปสงค์ รัฐบาลมุ่งกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเงินอุดหนุน เพื่อทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้ยานยนต์ที่ไม่ปล่อยมลพิษ
ในขณะเดียวกัน ด้านอุปทาน มาตรการได้กำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนเพื่อส่งเสริมให้ผู้ผลิตรถยนต์หันมาลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศ รวมถึงสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมชิ้นส่วนที่เกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิ้นส่วนสำคัญอย่างแบตเตอรี่ การกำหนดให้ใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศเป็นเงื่อนไขในการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับห่วงโซ่อุปทานและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว มาตรการเหล่านี้จึงเป็นการวางรากฐานที่สำคัญเพื่อลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล ลดปัญหามลพิษทางอากาศ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
เจาะลึกเงื่อนไขภาษีรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละประเภทในปี 2569
มาตรการใหม่ได้จำแนกอัตราภาษีและเงื่อนไขสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าแต่ละประเภทอย่างชัดเจน เพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและระดับของการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ผู้ที่สนใจซื้อรถจึงจำเป็นต้องศึกษาคุณสมบัติของรถยนต์แต่ละรุ่นอย่างละเอียดเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV): ลดภาษีและเงินอุดหนุน
รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ล้วน หรือ BEV (Battery Electric Vehicle) ยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนมากที่สุดตามมาตรการใหม่นี้ โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้:
- ลดอัตราภาษีสรรพสามิต: จากเดิม 8% ปรับลดลงเหลือเพียง 2% ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการลดลงของราคาจำหน่ายปลีก ทำให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น
- ลดภาษีนำเข้าชิ้นส่วนแบตเตอรี่: ภาษีนำเข้าสำหรับชิ้นส่วนสำคัญที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ถูกปรับลดลงเหลือ 0% เพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ผลิตที่ตั้งฐานการประกอบในประเทศ
- เงินอุดหนุนการซื้อ: สำหรับช่วง 2 ปีแรกของมาตรการ รัฐบาลยังคงให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ซื้อรถยนต์ BEV โดยรถยนต์ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 10 kWh แต่ไม่ถึง 30 kWh และรถยนต์ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 30 kWh ขึ้นไป จะได้รับเงินอุดหนุนสูงสุดถึง 150,000 บาท ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญ
การสนับสนุนกลุ่มรถยนต์ BEV อย่างเต็มที่เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนจากภาครัฐว่าต้องการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไร้มลพิษอย่างแท้จริง
รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV): เกณฑ์ใหม่ภาษี 5%
สำหรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด หรือ PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ทำงานผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้า มาตรการใหม่ได้กำหนดเกณฑ์ภาษีที่เข้มงวดขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ผู้ผลิตพัฒนารถยนต์ที่มีสมรรถนะการใช้งานในโหมดไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยแบ่งเป็น 2 อัตราดังนี้:
- อัตราภาษี 5%: รถยนต์ PHEV ที่จะได้รับสิทธิ์เสียภาษีในอัตรานี้ จะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนทั้ง 2 ข้อ คือ:
- มีระยะทางการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน (EV Range) ไม่น้อยกว่า 80 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง
- มีขนาดถังบรรจุน้ำมันเชื้อเพลิงไม่เกิน 45 ลิตร
- อัตราภาษี 10%: หากรถยนต์ PHEV รุ่นใดไม่ผ่านเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้งสองข้อข้างต้น (เช่น มีระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าต่ำกว่า 80 กิโลเมตร หรือมีถังน้ำมันขนาดใหญ่กว่า 45 ลิตร) จะต้องเสียภาษีสรรพสามิตในอัตรา 10%
เงื่อนไขนี้เป็นการกระตุ้นให้ผู้ผลิตออกแบบรถ PHEV ที่สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันด้วยโหมดไฟฟ้าได้จริงจังมากขึ้น ลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
รถยนต์ไฮบริด (HEV): อัตราภาษีตามการปล่อย CO2
รถยนต์ไฮบริด หรือ HEV (Hybrid Electric Vehicle) ซึ่งไม่สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟจากภายนอกได้ จะถูกกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตโดยอิงตามระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นหลัก เพื่อสะท้อนถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของรถยนต์แต่ละรุ่น โดยมีเกณฑ์เบื้องต้นดังนี้:
- อัตราภาษี 6%: สำหรับรถยนต์ HEV ที่มีอัตราการปล่อย CO2 ไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร (g/km)
- อัตราภาษี 9%: สำหรับรถยนต์ HEV ที่มีอัตราการปล่อย CO2 อยู่ในช่วง 101-120 กรัมต่อกิโลเมตร (g/km)
การกำหนดอัตราภาษีในลักษณะนี้จะทำให้ผู้บริโภคที่ต้องการซื้อรถ HEV ต้องพิจารณาข้อมูลด้านการปล่อยมลพิษของรถยนต์รุ่นนั้นๆ อย่างละเอียด เนื่องจากมีผลโดยตรงต่อราคาจำหน่าย
เงื่อนไขสำคัญที่ต้องรู้: การใช้ชิ้นส่วนในประเทศ
หนึ่งในหัวใจสำคัญของมาตรการสนับสนุน EV ฉบับใหม่ คือการกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตหรือประกอบขึ้นภายในประเทศ (Local Content Requirement) เพื่อที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามที่กำหนดไว้ เงื่อนไขนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างอุตสาหกรรมต่อเนื่องและพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้ครบวงจร โดยมีกรอบเวลาที่ชัดเจน:
- ปี 2569 เป็นต้นไป: รถยนต์ประเภท HEV และ PHEV จะต้องใช้ชิ้นส่วนแบตเตอรี่ที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ
- ปี 2571 เป็นต้นไป: นอกจากแบตเตอรี่แล้ว จะต้องมีการใช้ชิ้นส่วนสำคัญอื่นๆ ที่ผลิตในประเทศเพิ่มเติม
สำหรับผู้บริโภค แม้เงื่อนไขนี้จะดูเป็นเรื่องของผู้ผลิต แต่ก็ส่งผลโดยตรงต่อรุ่นรถยนต์ที่จะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษี ดังนั้น ก่อนการตัดสินใจซื้อ ควรมีการตรวจสอบกับผู้จำหน่ายว่ารถยนต์รุ่นที่สนใจนั้นปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้ชิ้นส่วนในประเทศตามที่ภาครัฐกำหนดหรือไม่ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้อย่างเต็มที่
สิทธิประโยชน์สำหรับบุคคลธรรมดา: การเช่ารถยนต์ไฟฟ้า
นอกเหนือจากการสนับสนุนการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว มาตรการใหม่ยังมอบสิทธิประโยชน์ให้กับบุคคลธรรมดาที่เลือกใช้บริการเช่ายานยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย เพื่อส่งเสริมให้เกิดการทดลองใช้งานและสร้างความคุ้นเคยกับเทคโนโลยี EV ในวงกว้าง โดยมีรายละเอียดของโครงการลดหย่อนภาษีดังนี้:
- ผู้มีสิทธิ์: บุคคลธรรมดาที่เช่ายานยนต์ไฟฟ้า (EV)
- สิทธิประโยชน์: สามารถนำค่าเช่าไปใช้เป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามที่จ่ายจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท
- ระยะเวลาโครงการ: สำหรับค่าเช่าที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568
- เอกสารที่ต้องใช้: ผู้เช่าจะต้องมีหลักฐานเป็นใบเสร็จรับเงินหรือใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) ที่ระบุข้อมูลอย่างชัดเจน เพื่อใช้ประกอบการยื่นภาษี
โครงการนี้ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเป็นของตนเอง แต่ต้องการสัมผัสประสบการณ์การใช้งานจริง พร้อมทั้งยังได้รับประโยชน์ทางภาษีอีกด้วย
ประเภทรถยนต์ | เงื่อนไขสำคัญ | อัตราภาษีสรรพสามิตใหม่ |
---|---|---|
รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) | – | 2% |
รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) | ระยะวิ่งไฟฟ้า ≥ 80 กม. และ ถังน้ำมัน ≤ 45 ลิตร | 5% |
รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) | ไม่เข้าเงื่อนไขข้างต้น | 10% |
รถยนต์ไฮบริด (HEV) | ปล่อย CO2 ≤ 100 g/km | 6% |
รถยนต์ไฮบริด (HEV) | ปล่อย CO2 101-120 g/km | 9% |
เช็กลิสต์สำคัญก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าปี 2569
เพื่อให้การตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสอดคล้องกับมาตรการใหม่และได้รับประโยชน์สูงสุด ผู้ซื้อควรพิจารณาตรวจสอบข้อมูลตามเช็กลิสต์ต่อไปนี้:
- ตรวจสอบประเภทของรถยนต์: ทำความเข้าใจว่ารถยนต์ที่สนใจเป็นประเภท BEV, PHEV, หรือ HEV เนื่องจากมีเกณฑ์ภาษีและสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
- เช็กคุณสมบัติของรถ PHEV: หากสนใจรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ให้ตรวจสอบข้อมูลทางเทคนิคอย่างละเอียด โดยเฉพาะระยะทางการวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้า (EV Range) และขนาดความจุของถังน้ำมัน เพื่อประเมินว่าจะเข้าเกณฑ์ภาษี 5% หรือ 10%
- พิจารณาอัตราการปล่อย CO2 ของรถ HEV: สำหรับรถยนต์ไฮบริด ควรตรวจสอบตัวเลขการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (g/km) ในเอกสารของรถยนต์ เพื่อทราบอัตราภาษีสรรพสามิตที่ถูกต้อง
- สอบถามเรื่องชิ้นส่วนในประเทศ: ติดต่อสอบถามกับผู้แทนจำหน่ายโดยตรงว่ารถยนต์รุ่นนั้นๆ ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดการใช้ชิ้นส่วนแบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศแล้วหรือไม่ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
- วางแผนเรื่องการชาร์จ: สำหรับผู้ที่สนใจ BEV และ PHEV ควรวางแผนเรื่องการติดตั้งสถานีชาร์จที่บ้าน (Wall Charger) และสำรวจสถานีชาร์จสาธารณะในเส้นทางที่ใช้งานเป็นประจำ
- เตรียมเอกสารสำหรับผู้เช่า: หากเลือกใช้บริการเช่า EV ในช่วงเวลาที่กำหนด อย่าลืมขอใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) จากผู้ให้บริการ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษี
บทสรุปและแนวทางการเตรียมตัว
การอนุมัติมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับปี 2569 นับเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทั้งในฝั่งผู้ผลิตและผู้บริโภค มาตรการเหล่านี้ถูกออกแบบมาอย่างละเอียดเพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลาย ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า 100% ไปจนถึงรถยนต์ไฮบริด โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดมลพิษและสร้างความยั่งยืนด้านพลังงาน พร้อมทั้งผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต EV ที่สำคัญของโลก
สำหรับผู้ที่กำลังวางแผนซื้อรถยนต์คันใหม่ การศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาษีรถยนต์ไฟฟ้า 2569 ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การทำความเข้าใจในรายละเอียดของรถยนต์แต่ละประเภท ทั้งในด้านเทคนิคและสิทธิประโยชน์ทางภาษี จะช่วยให้สามารถตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ที่ตอบโจทย์การใช้งานและคุ้มค่าที่สุดภายใต้มาตรการใหม่นี้ ดังนั้น การติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐและสอบถามรายละเอียดจากผู้จำหน่ายโดยตรง จะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการเตรียมความพร้อมก่อนตัดสินใจลงทุนกับยานยนต์แห่งอนาคต