ครม. เคาะ EV 4.0! ลด 1 แสนบาท เช็คเงื่อนไขที่นี่
คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเฟสใหม่ หรือที่รู้จักในชื่อ EV 4.0 ซึ่งเป็นนโยบายต่อเนื่องจากมาตรการ EV 3.0 และ EV 3.5 ที่ประสบความสำเร็จก่อนหน้านี้ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมการใช้และการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศอย่างยั่งยืน มาตรการนี้ประกอบด้วยเงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่น่าสนใจสำหรับผู้ซื้อและผู้ผลิต
ประเด็นสำคัญของมาตรการ EV 4.0
- เงินอุดหนุนสูงสุด 100,000 บาท: รัฐบาลมอบเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยวงเงินจะแตกต่างกันไปตามขนาดความจุของแบตเตอรี่
- ลดภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิต: มีการปรับลดอากรนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป (CBU) สูงสุด 40% และลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์
- ครอบคลุมยานยนต์ไฟฟ้าหลายประเภท: นโยบายนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่รถยนต์นั่งส่วนบุคคล แต่ยังรวมถึงรถกระบะไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมการใช้งานในวงกว้าง
- ส่งเสริมการลงทุนและการผลิตในประเทศ: มาตรการนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องภายในประเทศ
- เพิ่มงบประมาณรองรับ: ครม. อนุมัติงบประมาณฉุกเฉินเพิ่มเติมอีกประมาณ 1 พันล้านบาท เพื่อเสริมงบเดิมที่มีอยู่ 3 พันล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่สูงเกินคาด
ภาพรวมมาตรการ EV 4.0
การพิจารณาอนุมัติเมื่อเร็ว ๆ นี้เกี่ยวกับมาตรการ **ครม. เคาะ EV 4.0! ลด 1 แสนบาท เช็คเงื่อนไขที่นี่** ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำและผลักดันให้ประเทศกลายเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในระดับภูมิภาค นโยบายนี้คือการต่อยอดความสำเร็จจากมาตรการ EV 3.0 และ EV 3.5 โดยปรับปรุงเงื่อนไขและขยายขอบเขตการสนับสนุนให้ครอบคลุมและจูงใจมากยิ่งขึ้น ทั้งสำหรับผู้บริโภคที่กำลังพิจารณาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ และสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ต้องการลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคต
มาตรการดังกล่าวถูกออกแบบมาอย่างรอบคอบเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการกระตุ้นอุปสงค์ในระยะสั้นผ่านเงินอุดหนุนและส่วนลดภาษี กับการสร้างอุปทานที่แข็งแกร่งในระยะยาวผ่านการส่งเสริมการลงทุนในสายการผลิตภายในประเทศ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าเข้าถึงง่ายขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าให้เติบโตอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผลิตแบตเตอรี่ไปจนถึงการพัฒนาสถานีชาร์จและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
เจาะลึกเงื่อนไขเงินอุดหนุนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าแต่ละประเภท
หัวใจสำคัญของมาตรการ EV 4.0 คือการให้เงินอุดหนุนโดยตรงแก่ผู้ซื้อ ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเริ่มต้นและทำให้การตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นไปได้ง่ายขึ้น โดยวงเงินอุดหนุนจะถูกกำหนดโดยอิงตามประเภทของยานยนต์ ราคาจำหน่าย และขนาดความจุของแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่สะท้อนถึงต้นทุนและประสิทธิภาพของรถ
รถยนต์ไฟฟ้า (Passenger Cars)
สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไฟฟ้า ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของมาตรการนี้ โดยมีเงื่อนไขการให้เงินอุดหนุนที่ชัดเจน เพื่อกระตุ้นตลาดในกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป รายละเอียดของเงินอุดหนุนสามารถสรุปได้ดังตารางต่อไปนี้
ประเภทรถยนต์ | ราคาจำหน่าย (ไม่เกิน) | ขนาดแบตเตอรี่ (kWh) | เงินอุดหนุน (บาท/คัน) |
---|---|---|---|
รถยนต์ไฟฟ้า | 2,000,000 บาท | 50 kWh ขึ้นไป | 50,000 – 100,000 |
รถยนต์ไฟฟ้า | 2,000,000 บาท | น้อยกว่า 50 kWh | 20,000 – 50,000 |
จากตารางจะเห็นได้ว่า รถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดแบตเตอรี่ใหญ่กว่า ซึ่งโดยทั่วไปสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลกว่าต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง จะได้รับเงินอุดหนุนในอัตราที่สูงกว่า นี่คือกลไกที่จูงใจให้ผู้ผลิตนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงเข้ามาในตลาด ขณะเดียวกันก็ยังคงให้การสนับสนุนรถยนต์ขนาดเล็กที่มีแบตเตอรี่ขนาดรองลงมา เพื่อให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ใช้งานในเมืองเป็นหลัก
รถกระบะไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
นอกเหนือจากรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแล้ว มาตรการ EV 4.0 ยังขยายการสนับสนุนไปยังยานยนต์ประเภทอื่น ๆ ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันของคนไทย
นโยบายนี้ยังครอบคลุมไปถึงรถกระบะไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในภาคการขนส่งและโลจิสติกส์ รวมถึงการเดินทางส่วนบุคคลในระดับที่กว้างขึ้น
สำหรับรถกระบะไฟฟ้า ซึ่งเป็นยานพาหนะเชิงพาณิชย์ที่สำคัญของประเทศ จะได้รับเงินอุดหนุนเช่นกันเพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการและธุรกิจต่าง ๆ หันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานและลดการปล่อยมลพิษในระยะยาว ส่วนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาจำหน่ายไม่เกิน 150,000 บาท จะได้รับเงินอุดหนุนระหว่าง 5,000 ถึง 10,000 บาทต่อคัน การสนับสนุนในกลุ่มนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย และการเปลี่ยนมาใช้ระบบไฟฟ้าจะส่งผลดีต่อคุณภาพอากาศในเขตเมืองอย่างมีนัยสำคัญ
สิทธิประโยชน์ด้านภาษีเพื่อกระตุ้นตลาด

นอกเหนือจากเงินอุดหนุนโดยตรงแล้ว มาตรการ EV 4.0 ยังใช้เครื่องมือทางภาษีเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าสามารถแข่งขันกับรถยนต์สันดาปภายในได้ดียิ่งขึ้น โดยประกอบด้วยการลดหย่อนภาษีหลัก 2 ประเภท
การลดหย่อนอากรนำเข้า
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (Completely Built-Up: CBU) ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศและมีราคาจำหน่ายไม่เกิน 2 ล้านบาท จะได้รับการลดหย่อนอากรนำเข้าสูงสุดถึง 40% ในช่วง 2 ปีแรกของมาตรการ (พ.ศ. 2567-2568) การลดหย่อนภาษีส่วนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความหลากหลายของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่าง ๆ ในตลาดให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้นในช่วงเริ่มต้นที่สายการผลิตในประเทศยังอยู่ระหว่างการพัฒนา และยังช่วยให้ผู้ผลิตสามารถทดลองตลาดและประเมินความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างแม่นยำก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศ
การปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิต
อีกหนึ่งมาตรการทางภาษีที่สำคัญคือการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า จากเดิม 8% เหลือเพียง 2% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาจำหน่ายไม่เกิน 7 ล้านบาท การลดภาษีสรรพสามิตมีผลโดยตรงต่อโครงสร้างราคาขายปลีก ทำให้ผู้ผลิตสามารถตั้งราคาจำหน่ายที่จูงใจผู้บริโภคได้มากขึ้น ซึ่งมาตรการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นยอดขาย แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนจากภาครัฐว่าพร้อมให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง
เบื้องหลังนโยบาย: งบประมาณและเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์
การอนุมัติมาตรการ EV 4.0 ไม่ได้เป็นเพียงการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์และเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและอุตสาหกรรมยานยนต์
การจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม
เพื่อรองรับมาตรการดังกล่าว คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณฉุกเฉินเพิ่มเติมอีกประมาณ 1 พันล้านบาท เพื่อสมทบกับงบประมาณเดิมที่มีอยู่แล้ว 3 พันล้านบาท การตัดสินใจเพิ่มงบประมาณนี้เป็นผลมาจากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในมาตรการก่อนหน้านี้ที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีผู้ลงทะเบียนขอรับเงินอุดหนุนไปแล้วกว่า 20,000 คัน การอัดฉีดงบประมาณเพิ่มเติมนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่องและสร้างความมั่นใจว่าผู้ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่เข้าเกณฑ์จะได้รับสิทธิ์ตามที่ประกาศไว้อย่างแน่นอน
วิสัยทัศน์สู่การเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ในภูมิภาค
นโยบายสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ตั้งแต่ EV 3.0 จนถึง EV 4.0 เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวในการผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV Hub) ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาตรการเหล่านี้ได้สร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำจากทั่วโลกเข้ามาลงทุนในประเทศไทยแล้วเป็นมูลค่ารวมกว่า 8 หมื่นล้านบาท การลงทุนเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะสร้างงานและถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ยังช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศให้สามารถปรับตัวและเติบโตไปพร้อมกับเทรนด์ของโลกได้
ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและโอกาสสำหรับผู้บริโภค
มาตรการ EV 4.0 ส่งผลกระทบเชิงบวกในหลายมิติ ทั้งต่อภาคอุตสาหกรรมและผู้บริโภคโดยตรง สำหรับภาคอุตสาหกรรม นโยบายที่ชัดเจนและต่อเนื่องช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้ผลิตในการวางแผนการลงทุนระยะยาว ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในตลาด ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการที่ราคารถยนต์ไฟฟ้าเข้าถึงง่ายขึ้น มีตัวเลือกหลากหลาย และได้รับเทคโนโลยีที่ทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในระยะยาว
บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต
โดยสรุป การที่ **ครม. เคาะ EV 4.0! ลด 1 แสนบาท เช็คเงื่อนไขที่นี่** เป็นการยืนยันถึงทิศทางที่ชัดเจนของประเทศไทยในการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง ด้วยการให้เงินอุดหนุนสูงสุด 100,000 บาท พร้อมกับการลดหย่อนภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิต มาตรการนี้จะช่วยเร่งการยอมรับและการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้เร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกันก็เป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อรถยนต์ไฟฟ้า นี่คือช่วงเวลาที่ดีในการศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขต่างๆ ของมาตรการ EV 4.0 เพื่อประกอบการตัดสินใจและใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ที่รัฐบาลมอบให้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับตนเอง แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตที่สะอาดยิ่งขึ้น