ครม. เคาะ EV 4.0! ลด 1 แสนบาท เช็คเงื่อนไขที่นี่
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในระยะที่สอง หรือที่รู้จักกันในชื่อ EV 3.5 ซึ่งเป็นมาตรการต่อเนื่องที่ถูกเรียกว่าเป็นเฟสใหม่หลังจากมาตรการ EV 3.0 สิ้นสุดลง โดยมาตรการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาดในภาคขนส่ง และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาค
สรุปประเด็นสำคัญของมาตรการ EV 4.0
- เงินอุดหนุนสูงสุด 100,000 บาท: รัฐบาลให้เงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ เพื่อลดภาระของผู้ซื้อและกระตุ้นความต้องการในตลาด
- ครอบคลุมยานยนต์ไฟฟ้า 3 ประเภท: มาตรการนี้ให้การสนับสนุนทั้งรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคล, รถกระบะไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า โดยมีเงื่อนไขและวงเงินอุดหนุนแตกต่างกันไป
- มาตรการทางภาษี: นอกเหนือจากเงินอุดหนุน ยังมีการลดอากรขาเข้ารถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป และลดอัตราภาษีสรรพสามิต เพื่อทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าโดยรวมสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
- กรอบระยะเวลา 4 ปี: มาตรการ EV 3.5 หรือ EV 4.0 มีผลบังคับใช้ระหว่างปี พ.ศ. 2567 ถึง 2570 เพื่อสร้างความต่อเนื่องและเสถียรภาพให้กับตลาดและนักลงทุน
- ส่งเสริมการผลิตในประเทศ: เงื่อนไขบางประการของมาตรการมุ่งเน้นการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะรถกระบะและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อดึงดูดการลงทุนและสร้างฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง
มาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าเฟสใหม่ หรือที่เรียกกันว่า EV 4.0 (หรือ EV 3.5 ตามมติ ครม.) ถือเป็นนโยบายสำคัญที่ภาครัฐออกมาเพื่อสานต่อความสำเร็จและแก้ไขข้อจำกัดจากมาตรการระยะแรก โดยมุ่งหวังที่จะเร่งอัตราการยอมรับและการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในหมู่ประชาชนทั่วไป พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำของโลกตัดสินใจลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย การที่ ครม. เคาะ EV 4.0! ลด 1 แสนบาท เช็คเงื่อนไขที่นี่ จึงเป็นสัญญาณบวกที่ชัดเจนต่อทั้งผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ
ทำความเข้าใจที่มาและความสำคัญของมาตรการ EV 4.0

การอนุมัติมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการให้ส่วนลดแก่ผู้ซื้อเท่านั้น แต่ยังเป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติที่ต้องการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้ทันต่อกระแสโลกที่กำลังมุ่งสู่พลังงานสะอาดและเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่
เป้าหมายหลักในการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า
เป้าหมายหลักของมาตรการนี้มีหลายมิติ ประการแรกคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศจากภาคการขนส่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดมลภาวะที่สำคัญ ประการที่สองคือการสร้างความมั่นคงทางพลังงานโดยลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และประการสุดท้าย ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ คือการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลล่าสุดระบุว่ามีเม็ดเงินลงทุนสะสมจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยแล้วกว่า 80,000 ล้านบาท ซึ่งมาตรการนี้จะช่วยตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้เพิ่มขึ้นไปอีก
กรอบระยะเวลาและงบประมาณ
มาตรการ EV 4.0 หรือ EV 3.5 กำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการไว้ 4 ปี คือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 จนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2570 โดยมีวงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 34,000 ล้านบาท การกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนช่วยให้ทั้งผู้บริโภคสามารถวางแผนการซื้อ และผู้ประกอบการสามารถวางแผนการผลิตและการลงทุนได้อย่างมีทิศทางที่แน่นอน
เจาะลึกเงื่อนไขเงินอุดหนุนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าแต่ละประเภท
หัวใจสำคัญของมาตรการนี้คือเงินอุดหนุนที่ภาครัฐมอบให้เพื่อลดราคาจำหน่ายของยานยนต์ไฟฟ้า ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น โดยเงื่อนไขและจำนวนเงินอุดหนุนจะแตกต่างกันไปตามประเภทของรถยนต์และขนาดของแบตเตอรี่
รถยนต์ไฟฟ้าประเภทนั่งส่วนบุคคล (Passenger Cars)
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าประเภทนั่งส่วนบุคคล (เช่น รถเก๋ง, SUV) จะต้องมีราคาจำหน่ายไม่เกิน 2,000,000 บาท โดยเงินอุดหนุนจะแบ่งตามขนาดความจุของแบตเตอรี่และปีที่ซื้อ ดังนี้
ปีที่ซื้อ (พ.ศ.) | วงเงินอุดหนุนต่อคัน |
---|---|
2567 (ปีที่ 1) | 100,000 บาท |
2568 (ปีที่ 2) | 75,000 บาท |
2569–2570 (ปีที่ 3-4) | 50,000 บาท |
ปีที่ซื้อ (พ.ศ.) | วงเงินอุดหนุนต่อคัน |
---|---|
2567 (ปีที่ 1) | 50,000 บาท |
2568 (ปีที่ 2) | 35,000 บาท |
2569–2570 (ปีที่ 3-4) | 25,000 บาท |
รถกระบะไฟฟ้า (Electric Pickups)
สำหรับรถกระบะไฟฟ้าซึ่งถือเป็นตลาดที่สำคัญของประเทศไทย มาตรการนี้ให้การสนับสนุนเป็นพิเศษโดยมีเงื่อนไขดังนี้
- ราคาจำหน่ายต้องไม่เกิน 2,000,000 บาท
- ขนาดความจุแบตเตอรี่ต้องตั้งแต่ 50 kWh ขึ้นไป
- ต้องเป็นรถที่ผลิตภายในประเทศเท่านั้น
รถกระบะไฟฟ้าที่เข้าเงื่อนไขดังกล่าว จะได้รับเงินอุดหนุนคงที่ที่ 100,000 บาทต่อคัน ตลอดระยะเวลาของโครงการทั้ง 4 ปี (2567-2570) ซึ่งเป็นแรงจูงใจที่ชัดเจนสำหรับผู้ผลิตให้ตั้งฐานการผลิตรถกระบะไฟฟ้าในประเทศไทย
รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Motorcycles)
ในส่วนของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ก็ได้รับการส่งเสริมเช่นกันเพื่อกระตุ้นการใช้งานในวงกว้าง โดยมีเงื่อนไขดังนี้
- ราคาจำหน่ายต้องไม่เกิน 150,000 บาท
- ขนาดความจุแบตเตอรี่ต้องตั้งแต่ 3 kWh ขึ้นไป
- ต้องเป็นรถที่ผลิตภายในประเทศเท่านั้น
รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ผ่านเกณฑ์จะได้รับเงินอุดหนุนคงที่ 10,000 บาทต่อคัน ตลอดระยะเวลาโครงการ 4 ปีเช่นกัน
สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม: มาตรการลดหย่อนภาษี
นอกเหนือจากเงินอุดหนุนโดยตรงแล้ว มาตรการ EV 4.0 ยังคงสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเพื่อช่วยลดต้นทุนของรถยนต์ไฟฟ้าให้ต่ำลงอีก ทำให้ราคาจำหน่ายสุดท้ายน่าดึงดูดยิ่งขึ้น
มาตรการทางภาษีเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้านำเข้าและที่ผลิตในประเทศมีราคาที่สามารถแข่งขันกับรถยนต์สันดาปได้ในช่วงเปลี่ยนผ่านของตลาด
การลดอากรขาเข้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (CBU)
ในช่วง 2 ปีแรกของโครงการ (พ.ศ. 2567-2568) รัฐบาลจะลดอากรขาเข้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (Completely Built-Up หรือ CBU) ที่นำเข้ามาทั้งคัน ในอัตราไม่เกิน 40% โดยมีเงื่อนไขว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนั้นต้องมีราคาไม่เกิน 2,000,000 บาท มาตรการนี้ช่วยให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกรถยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลายจากแบรนด์ต่างประเทศในราคาที่สมเหตุสมผลมากขึ้นในช่วงที่การผลิตในประเทศยังไม่เต็มรูปแบบ
การลดอัตราภาษีสรรพสามิต
มาตรการนี้ยังคงอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าไว้ในระดับต่ำ โดยลดจากอัตราปกติ 8% ลงมาเหลือเพียง 2% ซึ่งมีผลกับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาจำหน่ายไม่เกิน 7,000,000 บาท การลดภาษีสรรพสามิตนี้เป็นประโยชน์ต่อรถยนต์ไฟฟ้าในวงกว้าง ไม่จำกัดเฉพาะรุ่นที่ได้รับเงินอุดหนุน และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าโดยรวมถูกลงอย่างมีนัยสำคัญ
กลไกการรับสิทธิ์และผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
เพื่อให้มาตรการนี้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ได้มีการวางกลไกการเบิกจ่ายที่ชัดเจนและออกแบบมาเพื่อส่งเสริมเป้าหมายระยะยาวของประเทศในการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า
ขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินอุดหนุน
ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจะไม่ได้รับเงินอุดหนุนเป็นเงินสดโดยตรง แต่จะได้รับเป็นส่วนลด ณ จุดขาย กระบวนการจะเป็นดังนี้: ผู้ซื้อที่ซื้อรถยนต์รุ่นที่เข้าร่วมโครงการจะทำการลงทะเบียนยืนยันสิทธิ์ จากนั้นผู้ผลิตหรือผู้นำเข้ารถยนต์จะเป็นผู้ยื่นเรื่องขอเบิกจ่ายเงินอุดหนุนจากภาครัฐในภายหลัง วิธีการนี้ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ซื้อได้รับประโยชน์ทันที ณ วันที่ตัดสินใจซื้อรถ
การกระตุ้นการลงทุนและการผลิตในประเทศ
ผลกระทบที่สำคัญที่สุดของมาตรการนี้คือการสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้สมบูรณ์ขึ้น การกำหนดเงื่อนไขให้รถกระบะไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าต้องผลิตในประเทศเท่านั้นจึงจะได้รับเงินอุดหนุน เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังผู้ผลิตว่ารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการลงทุนและการจ้างงานในประเทศ การมีฐานการผลิตที่แข็งแกร่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดต้นทุนในระยะยาว แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมและผลักดันให้ไทยเป็นผู้ส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลกในอนาคต
บทสรุป: ทิศทางอนาคตยานยนต์ไฟฟ้าไทยภายใต้มาตรการ EV 4.0
การที่ ครม. เคาะ EV 4.0! ลด 1 แสนบาท เช็คเงื่อนไขที่นี่ ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำและส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) มาตรการนี้มอบประโยชน์ที่ชัดเจนแก่ผู้บริโภคผ่านเงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี ทำให้การเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ดึงดูดเทคโนโลยีและเม็ดเงินลงทุนมหาศาล
สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อรถยนต์ไฟฟ้า มาตรการนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการเข้าถึงเทคโนโลยียานยนต์สะอาดในราคาที่จับต้องได้ยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจควรศึกษาเงื่อนไขและตรวจสอบรุ่นรถที่เข้าร่วมโครงการกับผู้จำหน่ายโดยตรงอย่างละเอียด เพื่อประกอบการตัดสินใจและเลือกยานยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเองมากที่สุด