ai generated 56

รัฐเคาะ EV 3.5 เฟส 2! ส่วนลด EV ใหม่เหลือเท่าไหร่?

สารบัญ

คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า หรือที่รู้จักกันในชื่อ “EV 3.5” ในระยะที่สองอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งส่งผลต่อคำถามที่หลายคนสนใจว่า รัฐเคาะ EV 3.5 เฟส 2! ส่วนลด EV ใหม่เหลือเท่าไหร่? มาตรการใหม่นี้มีกรอบระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 ถึง พ.ศ. 2570 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง และผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาค นโยบายนี้ครอบคลุมการให้เงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า รถกระบะไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการปรับลดภาษีที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับผู้บริโภคและผู้ประกอบการ

ประเด็นสำคัญของมาตรการ EV 3.5 เฟส 2

  • เงินอุดหนุนแบบขั้นบันได: วงเงินสนับสนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจะปรับลดลงตามลำดับในแต่ละปี เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อในช่วงแรกและปรับตัวเข้าสู่กลไกตลาดในระยะยาว
  • ครอบคลุมยานยนต์หลากหลายประเภท: มาตรการให้การสนับสนุนทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล, รถกระบะไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน
  • ส่งเสริมการผลิตในประเทศ: เงินอุดหนุนสำหรับรถกระบะไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจะมอบให้กับยานยนต์ที่ผลิตภายในประเทศเท่านั้น เพื่อกระตุ้นการลงทุนและสร้างฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง
  • สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่อเนื่อง: ยังคงมีการลดหย่อนภาษีสรรพสามิตและภาษีนำเข้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อช่วยลดต้นทุนและทำให้ราคาสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

ภาพรวมมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า EV 3.5 ระยะที่ 2

มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 เป็นนโยบายต่อเนื่องจากมาตรการ EV 3.0 ที่สิ้นสุดลง โดยมีเป้าหมายหลักในการรักษาโมเมนตัมการเติบโตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องภายในประเทศ นโยบายนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการสร้างอุปสงค์ในตลาดผ่านเงินอุดหนุนผู้บริโภค และการสร้างอุปทานที่ยั่งยืนผ่านการกระตุ้นให้เกิดการผลิตในประเทศ

หัวใจสำคัญของมาตรการนี้คือการให้เงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่แตกต่างกันไปตามประเภทของยานยนต์ ขนาดของแบตเตอรี่ และช่วงเวลาในการซื้อ ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการบริหารจัดการงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและปรับเปลี่ยนไปตามสภาวะของตลาดที่คาดว่าจะมีการแข่งขันสูงขึ้นและมีต้นทุนการผลิตที่ลดลงในอนาคต สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อรถยนต์ไฟฟ้า มาตรการนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อราคาจำหน่ายสุดท้าย ทำให้การเข้าถึงเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าเป็นไปได้ง่ายขึ้น

รายละเอียดเงินอุดหนุนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าแต่ละประเภท

รายละเอียดเงินอุดหนุนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าแต่ละประเภท

วงเงินสนับสนุนภายใต้มาตรการ EV 3.5 เฟส 2 ถูกกำหนดขึ้นโดยพิจารณาจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งประเภทรถ ราคาจำหน่าย และขนาดความจุของแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่มีต้นทุนสูงที่สุดในยานยนต์ไฟฟ้า การแบ่งเกณฑ์อย่างละเอียดนี้ช่วยให้การสนับสนุนเป็นไปอย่างตรงจุดและเหมาะสมกับยานยนต์แต่ละกลุ่ม

รถยนต์ไฟฟ้า (ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท)

รถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มนี้ถือเป็นตลาดหลักที่มาตรการมุ่งเน้นส่งเสริม เนื่องจากเป็นกลุ่มราคาที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงได้ โดยวงเงินอุดหนุนจะแปรผันตามขนาดแบตเตอรี่และปีที่ซื้อ ดังนี้

  1. กรณีแบตเตอรี่ขนาดตั้งแต่ 50 kWh ขึ้นไป:
    • ปีที่ 1 (พ.ศ. 2567): ได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาทต่อคัน
    • ปีที่ 2 (พ.ศ. 2568): ได้รับเงินอุดหนุน 75,000 บาทต่อคัน
    • ปีที่ 3-4 (พ.ศ. 2569-2570): ได้รับเงินอุดหนุน 50,000 บาทต่อคัน
  2. กรณีแบตเตอรี่ขนาดต่ำกว่า 50 kWh:
    • ปีที่ 1 (พ.ศ. 2567): ได้รับเงินอุดหนุน 50,000 บาทต่อคัน
    • ปีที่ 2 (พ.ศ. 2568): ได้รับเงินอุดหนุน 35,000 บาทต่อคัน
    • ปีที่ 3-4 (พ.ศ. 2569-2570): ได้รับเงินอุดหนุน 25,000 บาทต่อคัน

การกำหนดวงเงินอุดหนุนเป็นแบบขั้นบันได (Tapered Subsidy) มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อในช่วงต้นของมาตรการ ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งสัญญาณให้ผู้ผลิตปรับลดต้นทุนการผลิตลงในระยะยาว เพื่อให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าสามารถแข่งขันในตลาดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนจากภาครัฐในอนาคต

รถยนต์ไฟฟ้า (ราคา 2 ถึง 7 ล้านบาท)

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มราคาสูง ซึ่งจัดเป็นกลุ่มรถยนต์หรู (Luxury Segment) จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนเป็นตัวเงินโดยตรง อย่างไรก็ตาม ยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อช่วยลดภาระด้านราคาและส่งเสริมให้เกิดการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาในตลาด ได้แก่:

  • การลดอัตราภาษีสรรพสามิต: จากอัตราปกติ 8% เหลือเพียง 2%
  • การลดอากรขาเข้า (CBU): สำหรับรถยนต์สำเร็จรูปที่นำเข้ามาทั้งคัน จะได้รับการลดหย่อนอากรขาเข้าไม่เกิน 40% ในช่วงปี พ.ศ. 2567-2568

แม้จะไม่มีเงินอุดหนุนโดยตรง แต่สิทธิประโยชน์ทางภาษีเหล่านี้มีผลอย่างมีนัยสำคัญในการทำให้ราคาจำหน่ายสุดท้ายของรถยนต์กลุ่มนี้ลดลง ซึ่งช่วยกระตุ้นตลาดในภาพรวมและสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ

รถกระบะไฟฟ้า (ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท)

รถกระบะเป็นตลาดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของคนไทย การส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่รถกระบะไฟฟ้าจึงเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของมาตรการนี้

  • เงื่อนไข: ต้องเป็นรถกระบะไฟฟ้าที่มีราคาจำหน่ายไม่เกิน 2 ล้านบาท และมีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh ขึ้นไป
  • เงินอุดหนุน: ได้รับเงินอุดหนุนคงที่ 100,000 บาทต่อคัน ตลอดระยะเวลา 4 ปีของโครงการ
  • ข้อกำหนดสำคัญ: สิทธิ์ในการรับเงินอุดหนุนนี้สงวนไว้สำหรับรถกระบะไฟฟ้าที่ผลิตภายในประเทศเท่านั้น

การกำหนดเงื่อนไขการผลิตในประเทศเป็นการส่งเสริมและผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์ลงทุนตั้งฐานการผลิตรถกระบะไฟฟ้าในไทย ซึ่งจะช่วยสร้างงาน สร้างมูลค่าเพิ่ม และทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ของภูมิภาค

รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (ราคาไม่เกิน 150,000 บาท)

รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบไฟฟ้าในกลุ่มนี้จะช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศและเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • เงื่อนไข: ต้องเป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาจำหน่ายไม่เกิน 150,000 บาท และมีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 kWh ขึ้นไป
  • เงินอุดหนุน: ได้รับเงินอุดหนุนคงที่ 10,000 บาทต่อคัน ตลอดระยะเวลา 4 ปีของโครงการ
  • ข้อกำหนดสำคัญ: เช่นเดียวกับรถกระบะไฟฟ้า สิทธิ์นี้มอบให้กับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตภายในประเทศเท่านั้น

เป้าหมายหลักของมาตรการ EV 3.5 เฟส 2 ไม่เพียงแต่เป็นการกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า แต่ยังเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

เปรียบเทียบวงเงินอุดหนุนใหม่แบบรายปี

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นของการเปลี่ยนแปลงวงเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าประเภทที่มีความต้องการสูงที่สุดในตลาด (ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท) สามารถสรุปเปรียบเทียบได้ดังตารางต่อไปนี้

ตารางเปรียบเทียบเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ภายใต้มาตรการ EV 3.5 เฟส 2 (พ.ศ. 2567 – 2570)
ขนาดแบตเตอรี่ ปีที่ 1 (2567) ปีที่ 2 (2568) ปีที่ 3-4 (2569-2570)
ตั้งแต่ 50 kWh ขึ้นไป 100,000 บาท 75,000 บาท 50,000 บาท
ต่ำกว่า 50 kWh 50,000 บาท 35,000 บาท 25,000 บาท

เงื่อนไขสำคัญและกรอบเวลาของมาตรการ

นอกเหนือจากวงเงินอุดหนุนแล้ว มาตรการ EV 3.5 เฟส 2 ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับกรอบเวลาและงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับผู้บริโภคและผู้ประกอบการในการวางแผน

กรอบเวลาและงบประมาณโครงการ

มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 4 ปีเต็ม คือตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2570 โดยรัฐบาลได้จัดสรรกรอบงบประมาณสำหรับดำเนินมาตรการไว้ที่ประมาณ 34,000 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาโครงการ งบประมาณจำนวนนี้จะถูกใช้เพื่อเป็นเงินอุดหนุนให้กับผู้ซื้อยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ ตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการขับเคลื่อนนโยบายนี้อย่างจริงจัง

การขยายเวลาจดทะเบียนสำหรับมาตรการเดิม

เพื่อแก้ไขปัญหาสำหรับผู้ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้มาตรการ EV 3.0 เดิม แต่ไม่สามารถดำเนินการจดทะเบียนได้ทันภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติขยายกรอบเวลาดังกล่าวออกไป โดยกำหนดเงื่อนไขใหม่ว่า รถยนต์ไฟฟ้าจะต้องถูกจำหน่ายภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 และสามารถนำไปจดทะเบียนได้ภายในวันที่ 31 มกราคม 2567 การขยายเวลานี้ช่วยให้ผู้บริโภคและผู้จำหน่ายที่ดำเนินการซื้อขายในช่วงปลายปีที่แล้วสามารถใช้สิทธิ์ตามมาตรการเดิมได้อย่างครบถ้วน

บทสรุปและทิศทางตลาดยานยนต์ไฟฟ้าไทยในอนาคต

การอนุมัติมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า EV 3.5 ระยะที่ 2 ถือเป็นก้าวที่สำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ แม้ว่าวงเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจะมีการปรับลดลงแบบขั้นบันได แต่ก็ยังคงเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยให้ราคาของยานยนต์ไฟฟ้ายังคงน่าดึงดูดใจสำหรับผู้บริโภค โดยเฉพาะในช่วง 1-2 ปีแรกของมาตรการ

ในขณะเดียวกัน การกำหนดเงื่อนไขให้เงินอุดหนุนสำหรับรถกระบะและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าต้องเป็นรุ่นที่ผลิตในประเทศ จะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน และการถ่ายทอดเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว และตอกย้ำเป้าหมายในการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก ดังนั้น ผู้ที่สนใจซื้อยานยนต์ไฟฟ้าควรติดตามข้อมูลและประกาศจากผู้จำหน่ายอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนการซื้อให้สอดคล้องกับสิทธิประโยชน์สูงสุดตามกรอบเวลาของมาตรการนี้

Similar Posts