ครม. เคาะส่วนลด EV 3.5! สรุปเงื่อนไข-รุ่นรถที่เข้าร่วม
- สรุปประเด็นสำคัญของมาตรการ EV 3.5
- เจาะลึกมาตรการ EV 3.5: ก้าวต่อไปของยานยนต์ไฟฟ้าไทย
- รายละเอียดเงื่อนไขและเงินอุดหนุนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าแต่ละประเภท
- ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างมาตรการ EV 3.0 และ EV 3.5
- ข้อกำหนดเพิ่มเติมและทิศทางตลาดในอนาคต
- รุ่นรถยนต์ไฟฟ้าที่คาดว่าจะเข้าเกณฑ์และได้รับสิทธิ์
- บทสรุป: ขับเคลื่อนอนาคตด้วย EV 3.5
คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเฟสใหม่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “EV 3.5” อย่างเป็นทางการ นับเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง มาตรการนี้ครอบคลุมระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 ถึง 2570 โดยมีการปรับปรุงเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งกระตุ้นการผลิตภายในประเทศ
สรุปประเด็นสำคัญของมาตรการ EV 3.5
มาตรการ EV 3.5 มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดจากเฟสก่อนหน้า โดยมุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนให้กับตลาดในระยะยาว ประเด็นสำคัญที่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการควรทราบ มีดังนี้:
- เงินอุดหนุนแบบขั้นบันได: สำหรับรถยนต์นั่งไฟฟ้าราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท จะได้รับเงินอุดหนุนสูงสุด 100,000 บาทในปีแรก และจะปรับลดลงในแต่ละปี เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อในช่วงต้นของมาตรการ
- การลดหย่อนภาษี: มาตรการยังคงมีการลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือเพียง 2% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการ และลดอากรนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป (CBU) สูงสุด 40% ในช่วง 2 ปีแรก (พ.ศ. 2567-2568)
- ส่งเสริมการผลิตในประเทศ: นโยบายให้ความสำคัญกับการสนับสนุนรถกระบะไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตภายในประเทศโดยเฉพาะ เพื่อสร้างฐานการผลิตที่แข็งแกร่งและส่งเสริมซัพพลายเชนในไทย
- ขยายกรอบเวลานาน 4 ปี: การกำหนดระยะเวลาของมาตรการที่ยาวนานถึง 4 ปี (2567-2570) ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและนักลงทุน ทำให้สามารถวางแผนการซื้อและการลงทุนได้อย่างชัดเจน
- เกณฑ์ขนาดแบตเตอรี่: มีการกำหนดเกณฑ์ขนาดความจุของแบตเตอรี่ที่ชัดเจนขึ้น โดยรถยนต์ที่จะได้รับเงินอุดหนุนสูงสุดต้องมีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh ขึ้นไป สะท้อนถึงการส่งเสริมรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพและวิ่งได้ระยะทางไกลขึ้น
เจาะลึกมาตรการ EV 3.5: ก้าวต่อไปของยานยนต์ไฟฟ้าไทย
ครม. เคาะส่วนลด EV 3.5! สรุปเงื่อนไข-รุ่นรถที่เข้าร่วม ถือเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นการสานต่อนโยบายที่ประสบความสำเร็จจากมาตรการ EV 3.0 โดยมีการปรับปรุงเงื่อนไขให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป มาตรการนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน (EV Hub) อีกด้วย
ความสำคัญและเป้าหมายของนโยบาย
เป้าหมายหลักของนโยบายรถยนต์ไฟฟ้า EV 3.5 คือการรักษาระดับการเติบโตของตลาด EV ในประเทศให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่มาตรการเฟสแรกได้สร้างกระแสความตื่นตัวและทำให้ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รัฐบาลจึงมุ่งหวังที่จะใช้มาตรการนี้เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดในระยะยาว โดยเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการนำเข้าและการผลิตในประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก
ใครคือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้
ผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากมาตรการนี้มีหลายกลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกคือ ผู้บริโภค ที่กำลังวางแผนซื้อรถ EV ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งในรูปแบบของเงินอุดหนุนที่ช่วยลดราคารถยนต์ และการลดหย่อนภาษี ทำให้สามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น กลุ่มที่สองคือ ผู้ประกอบการและค่ายรถยนต์ ที่จะได้รับประโยชน์จากตลาดที่ขยายตัวและมีอุปสงค์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแรงจูงใจในการตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยเพื่อรับสิทธิประโยชน์สูงสุด และท้ายที่สุดคือ ประเทศไทยในภาพรวม ที่จะได้ประโยชน์จากการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ การจ้างงานที่เพิ่มขึ้น และการมีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นจากการลดมลพิษ
รายละเอียดเงื่อนไขและเงินอุดหนุนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าแต่ละประเภท

มาตรการ EV 3.5 ได้แบ่งประเภทของยานยนต์ไฟฟ้าและกำหนดเงื่อนไขการให้เงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้การสนับสนุนเป็นไปอย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด
รถยนต์นั่งไฟฟ้า (Passenger EV) ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท
รถยนต์ในกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของมาตรการ โดยมีเงื่อนไขการสนับสนุนที่น่าสนใจ แบ่งตามขนาดแบตเตอรี่และปีที่ซื้อ ดังนี้
- กรณีแบตเตอรี่ขนาด 50 kWh ขึ้นไป:
- ปี 2567: เงินอุดหนุน 100,000 บาท/คัน
- ปี 2568: เงินอุดหนุน 75,000 บาท/คัน
- ปี 2569–2570: เงินอุดหนุน 50,000 บาท/คัน
- กรณีแบตเตอรี่ขนาดต่ำกว่า 50 kWh:
- ปี 2567: เงินอุดหนุน 50,000 บาท/คัน
- ปี 2568: เงินอุดหนุน 35,000 บาท/คัน
- ปี 2569–2570: เงินอุดหนุน 25,000 บาท/คัน
นอกเหนือจากเงินอุดหนุนแล้ว รถยนต์กลุ่มนี้ยังได้รับสิทธิ์ลดภาษีนำเข้า CBU (รถยนต์สำเร็จรูป) สูงสุด 40% ในช่วงปี 2567-2568 และลดภาษีสรรพสามิตจากปกติ 8% เหลือเพียง 2% ตลอดอายุโครงการ
รถยนต์นั่งไฟฟ้า (Passenger EV) ราคาระหว่าง 2-7 ล้านบาท
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มพรีเมียม ซึ่งมีราคาระหว่าง 2,000,001 บาท ถึง 7,000,000 บาท จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนเป็นตัวเงิน อย่างไรก็ตาม ยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่สำคัญ คือ การลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% ซึ่งช่วยทำให้ราคาวางจำหน่ายสุดท้ายน่าสนใจและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้บริโภคในกลุ่มนี้
รถกระบะไฟฟ้า (Electric Pickup) ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท
เพื่อส่งเสริมการผลิตในประเทศและสนับสนุนภาคธุรกิจขนส่ง มาตรการ EV 3.5 ได้ให้การสนับสนุนรถกระบะไฟฟ้าที่มีเงื่อนไขดังนี้
- ต้องเป็นรถกระบะที่ผลิตภายในประเทศเท่านั้น
- ราคาจำหน่ายต้องไม่เกิน 2,000,000 บาท
- ขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 30-50 kWh ขึ้นไป
- จะได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาท/คัน ตลอดระยะเวลา 4 ปีของโครงการ
รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Motorcycle) ราคาไม่เกิน 150,000 บาท
รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญในการผลักดันการใช้พลังงานสะอาดในชีวิตประจำวัน โดยมีเงื่อนไขการสนับสนุน คือ
- ต้องเป็นรถจักรยานยนต์ที่ผลิตภายในประเทศเท่านั้น
- ราคาจำหน่ายต้องไม่เกิน 150,000 บาท
- ขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 kWh ขึ้นไป
- จะได้รับเงินอุดหนุน 10,000 บาท/คัน ตลอดระยะเวลา 4 ปีของโครงการ
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างมาตรการ EV 3.0 และ EV 3.5
เพื่อให้เห็นภาพความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบนโยบายสนับสนุน EV ทั้งสองเฟสจะช่วยให้เข้าใจทิศทางและเป้าหมายของรัฐบาลได้ดียิ่งขึ้น
หัวข้อเปรียบเทียบ | มาตรการ EV 3.0 (ปี 2565-2566) | มาตรการ EV 3.5 (ปี 2567-2570) |
---|---|---|
เงินอุดหนุนสูงสุด (รถยนต์นั่ง) | 150,000 บาท/คัน | 100,000 บาท/คัน (ลดลงตามลำดับปี) |
เกณฑ์ขนาดแบตเตอรี่ (สำหรับเงินอุดหนุนสูงสุด) | ตั้งแต่ 30 kWh ขึ้นไป | ตั้งแต่ 50 kWh ขึ้นไป |
กลุ่มเป้าหมายหลัก | เน้นกระตุ้นตลาดในภาพรวม | เน้นรถยนต์ราคาย่อมเยา (ไม่เกิน 2 ล้านบาท) และมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ |
การสนับสนุนรถกระบะไฟฟ้า | เงินอุดหนุน 150,000 บาท (เฉพาะรุ่นที่ผลิตในประเทศ) | เงินอุดหนุน 100,000 บาท (เฉพาะรุ่นที่ผลิตในประเทศ) |
ระยะเวลาโครงการ | 2 ปี | 4 ปี |
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใน EV 3.5 คือการปรับลดวงเงินอุดหนุนสูงสุดลง แต่ขยายระยะเวลาโครงการและเพิ่มเกณฑ์ขนาดแบตเตอรี่ให้สูงขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการผลักดันให้ตลาดเติบโตอย่างยั่งยืนและส่งเสริมเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง
ข้อกำหนดเพิ่มเติมและทิศทางตลาดในอนาคต
นอกเหนือจากเงื่อนไขด้านราคาและประเภทรถแล้ว มาตรการ EV 3.5 ยังมีข้อกำหนดด้านกรอบเวลาและปัจจัยอื่นๆ ที่จะส่งผลต่อทิศทางของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
เงื่อนไขด้านการจดทะเบียนและกรอบเวลา
สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับสิทธิ์ตามมาตรการเดิม (EV 3.0) ได้มีการขยายกรอบเวลาการจดทะเบียนออกไป โดยกำหนดให้รถยนต์ต้องถูกจำหน่ายภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 และต้องดำเนินการจดทะเบียนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มกราคม 2567 เพื่อให้ผู้ที่ซื้อรถในช่วงปลายปีที่แล้วยังคงได้รับสิทธิ์ตามเงื่อนไขเดิม การขยายเวลานี้ช่วยลดผลกระทบและสร้างความต่อเนื่องระหว่างมาตรการเก่าและใหม่
แนวโน้มตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 2568 ภายใต้นโยบายใหม่
ภายใต้นโยบายรถยนต์ไฟฟ้า EV 3.5 คาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2568 และปีต่อๆ ไปจะมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจหลายประการ ประการแรก ค่ายรถยนต์ต่างๆ จะมุ่งเน้นการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่มีขนาดแบตเตอรี่เกิน 50 kWh ในระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทมากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับเงินอุดหนุนสูงสุด ซึ่งจะนำไปสู่การแข่งขันด้านราคาและเทคโนโลยีที่ดุเดือดยิ่งขึ้น ประการที่สอง การเน้นย้ำเรื่องการผลิตในประเทศจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนสร้างโรงงานประกอบรถยนต์และชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการจ้างงานในระยะยาว สุดท้าย ผู้บริโภคจะมีตัวเลือกที่หลากหลายขึ้น ทั้งในด้านแบรนด์ รุ่นรถ และช่วงราคา ทำให้การตัดสินใจซื้อรถ EV เป็นไปได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
รุ่นรถยนต์ไฟฟ้าที่คาดว่าจะเข้าเกณฑ์และได้รับสิทธิ์
แม้ว่ารายชื่อรุ่นรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการ EV 3.5 อย่างเป็นทางการจะขึ้นอยู่กับการประกาศจากแต่ละบริษัทผู้ผลิต แต่จากเงื่อนไขที่กำหนด สามารถคาดการณ์กลุ่มรถยนต์ที่มีแนวโน้มจะได้รับสิทธิ์ตามมาตรการนี้ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาดปัจจุบัน
ตัวอย่างกลุ่มรถยนต์ที่เข้าเกณฑ์ราคาและมีแนวโน้มจะเข้าร่วมโครงการ (ขึ้นอยู่กับขนาดแบตเตอรี่ของแต่ละรุ่นย่อย) ได้แก่:
- กลุ่ม Compact/Subcompact SUV: รถยนต์ในกลุ่มนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงจากแบรนด์จีน เช่น BYD Atto 3, GAC Aion Y Plus, Changan Deepal S07, และ NETA V-II ซึ่งส่วนใหญ่มักมีรุ่นย่อยที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่กว่า 50 kWh และตั้งราคาอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถรับเงินอุดหนุนสูงสุดได้
- กลุ่ม Sedan: รถยนต์ซีดานไฟฟ้า เช่น ORA 07 (Good Cat), BYD Seal, และ Changan Deepal L07 ก็เป็นอีกกลุ่มที่มีโอกาสเข้าร่วมโครงการ โดยเฉพาะในรุ่นเริ่มต้นที่ทำราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท
- รถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์ญี่ปุ่นและยุโรป: แม้ว่าในช่วงแรกแบรนด์จากจีนจะเป็นผู้เล่นหลักในตลาดกลุ่มนี้ แต่คาดว่าค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นและยุโรปจะเริ่มส่งโมเดลที่ผลิตในประเทศหรือนำเข้ารุ่นที่เข้าเกณฑ์มาแข่งขันมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด
หมายเหตุ: การเข้าร่วมโครงการและสิทธิ์ที่จะได้รับขึ้นอยู่กับการยืนยันจากผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
บทสรุป: ขับเคลื่อนอนาคตด้วย EV 3.5
การอนุมัติมาตรการ EV 3.5 โดยคณะรัฐมนตรี ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของภาครัฐในการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจังและต่อเนื่อง นโยบายนี้ถูกออกแบบมาอย่างรอบคอบเพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ผ่านกลไกเงินอุดหนุนและการลดหย่อนภาษี ควบคู่ไปกับการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการผลิตภายในประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์และแข็งแกร่งในอนาคต
สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อรถ EV ในช่วงปี 2567-2570 มาตรการนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเป็นเจ้าของเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคตในราคาที่คุ้มค่า การศึกษาเงื่อนไขรายละเอียดของรถยนต์แต่ละรุ่นที่สนใจ โดยเฉพาะเรื่องราคาและขนาดแบตเตอรี่ จะช่วยให้สามารถวางแผนและใช้ประโยชน์จากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำต่อไป