ai generated 35

ครม. เคาะส่วนลด EV 3.5! สรุปเงื่อนไข-รุ่นรถที่เข้าร่วม

สารบัญ

คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ในระยะที่สอง ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ EV 3.5 โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาค มาตรการนี้ประกอบด้วยเงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภคและผู้ประกอบการ

ประเด็นสำคัญของมาตรการ EV 3.5

  • มาตรการ EV 3.5 มีระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 ถึง พ.ศ. 2570 เพื่อสร้างความต่อเนื่องและกระตุ้นตลาดในระยะยาว
  • มอบเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าสูงสุด 100,000 บาทต่อคัน โดยเงื่อนไขจะแตกต่างกันไปตามประเภทรถยนต์ ขนาดแบตเตอรี่ และปีที่ซื้อ
  • ครอบคลุมยานยนต์ไฟฟ้าหลากหลายประเภท ทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถกระบะไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
  • ประกอบด้วยการลดอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป (CBU) และการลดอัตราภาษีสรรพสามิต เพื่อทำให้ราคายานยนต์ไฟฟ้าสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
  • กำหนดเงื่อนไขการผลิตชดเชยสำหรับผู้ประกอบการที่นำเข้ารถยนต์ เพื่อส่งเสริมการลงทุนและสร้างฐานการผลิตในประเทศ

ภาพรวมมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า EV 3.5

หลังจากความสำเร็จของมาตรการ EV 3 ในช่วงที่ผ่านมา ล่าสุด ครม. เคาะส่วนลด EV 3.5! สรุปเงื่อนไข-รุ่นรถที่เข้าร่วม อย่างเป็นทางการ เพื่อสานต่อการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศอย่างต่อเนื่อง มาตรการใหม่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาแรงผลักดันของตลาด EV พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดการลงทุนด้านการผลิตชิ้นส่วนและยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศมากขึ้น โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินงานที่ชัดเจน 4 ปี คือตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2567 ไปจนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2570

มาตรการ EV 3.5 มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้บริโภคที่กำลังวางแผนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อราคาจำหน่ายปลีกผ่านเงินอุดหนุนจากภาครัฐ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อผู้ประกอบการ ทั้งผู้นำเข้าและผู้ผลิตในประเทศ ที่ต้องวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่กำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงื่อนไขการผลิตชดเชยการนำเข้า ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้เกิดการจ้างงานและการถ่ายทอดเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย นโยบายนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการกำหนดทิศทางอนาคตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

เจาะลึกเงื่อนไขเงินอุดหนุนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าแต่ละประเภท

หัวใจสำคัญของมาตรการ EV 3.5 คือการให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ซื้อยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามประเภทของยานยนต์ ขนาดความจุของแบตเตอรี่ และช่วงเวลาที่ซื้อ โดยมีรายละเอียดดังนี้

รถยนต์นั่งไฟฟ้า (BEV Passenger Cars)

สำหรับรถยนต์นั่งไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) ที่มีราคาจำหน่ายไม่เกิน 2,000,000 บาท จะได้รับการสนับสนุนตามขนาดของแบตเตอรี่และปีที่จดทะเบียน โดยแบ่งเป็น 2 กรณีหลัก:

  1. ขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) ขึ้นไป: รถยนต์ในกลุ่มนี้จะได้รับเงินอุดหนุนในอัตราที่ลดหลั่นกันไปในแต่ละปี เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อในช่วงต้นของมาตรการ
    • ปีที่ 1 (พ.ศ. 2567): ได้รับเงินอุดหนุนสูงสุด 100,000 บาทต่อคัน
    • ปีที่ 2 (พ.ศ. 2568): ได้รับเงินอุดหนุน 75,000 บาทต่อคัน
    • ปีที่ 3-4 (พ.ศ. 2569-2570): ได้รับเงินอุดหนุน 50,000 บาทต่อคัน
  2. ขนาดแบตเตอรี่ต่ำกว่า 50 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh): สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่เน้นการใช้งานในเมือง จะได้รับเงินอุดหนุนในอัตราที่น้อยกว่า
    • ปีที่ 1 (พ.ศ. 2567): ได้รับเงินอุดหนุน 50,000 บาทต่อคัน
    • ปีที่ 2 (พ.ศ. 2568): ได้รับเงินอุดหนุน 35,000 บาทต่อคัน
    • ปีที่ 3-4 (พ.ศ. 2569-2570): ได้รับเงินอุดหนุน 20,000 บาทต่อคัน

การกำหนดเงื่อนไขเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐในการส่งเสริมทั้งรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระยะทำการไกลและรถยนต์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย

รถกระบะไฟฟ้า (BEV Pickup)

รถกระบะไฟฟ้าถือเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญของมาตรการ เนื่องจากเป็นยานยนต์ที่มีบทบาทสำคัญในภาคพาณิชย์และชีวิตประจำวันของคนไทย สำหรับรถกระบะไฟฟ้าที่ผลิตภายในประเทศ (Completely Knocked Down: CKD) ที่มีราคาจำหน่ายไม่เกิน 2,000,000 บาท และมีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh ขึ้นไป จะได้รับเงินอุดหนุนคงที่ 100,000 บาทต่อคัน ตลอดระยะเวลาของมาตรการ (พ.ศ. 2567-2570) ทั้งนี้ เงื่อนไขที่ระบุว่าต้องเป็นรถที่ผลิตในประเทศเท่านั้น เป็นการส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถกระบะไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศโดยตรง

การสนับสนุนรถกระบะไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศด้วยเงินอุดหนุน 100,000 บาทตลอดโครงการ เป็นกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการผลักดันให้ผู้ผลิตรายใหญ่ตัดสินใจตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย

รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า

ในส่วนของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า มาตรการ EV 3.5 ยังคงให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดเงื่อนไขสำหรับรถที่มีราคาไม่เกิน 150,000 บาท และมีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 kWh ขึ้นไป จะได้รับเงินอุดหนุน 10,000 บาทต่อคัน ตลอดระยะเวลาของโครงการเช่นกัน การสนับสนุนนี้มุ่งเป้าไปที่การลดมลพิษทางอากาศในเขตเมือง และส่งเสริมให้ผู้ใช้งานรถจักรยานยนต์เปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น

สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมในมาตรการ EV 3.5

สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมในมาตรการ EV 3.5

นอกเหนือจากเงินอุดหนุนโดยตรงแล้ว มาตรการ EV 3.5 ยังคงใช้เครื่องมือทางภาษีเพื่อช่วยลดต้นทุนและทำให้ราคายานยนต์ไฟฟ้าแข่งขันได้ในตลาด ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก

การลดหย่อนอากรขาเข้า

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (Completely Built Up: CBU) ที่นำเข้ามาจำหน่ายในช่วง 2 ปีแรกของมาตรการ (พ.ศ. 2567-2568) จะได้รับการลดหย่อนอากรขาเข้าสูงสุดถึง 40% โดยมีเงื่อนไขว่ารถยนต์ดังกล่าวต้องมีราคาไม่เกิน 2,000,000 บาท สิทธิประโยชน์นี้ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดได้ในราคาที่น่าสนใจ ในระหว่างที่กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับสายการผลิตในประเทศ

การปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิต

มาตรการนี้ยังคงอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าไว้ที่ 2% จากอัตราปกติที่ 8% โดยมีผลบังคับใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาจำหน่ายไม่เกิน 7,000,000 บาท การคงอัตราภาษีที่ต่ำนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้โครงสร้างราคาสุดท้ายของรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นยังคงอยู่ในระดับที่จูงใจผู้บริโภค และขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมได้อีกด้วย

สรุปเงื่อนไขสำคัญของมาตรการ EV 3.5 ในรูปแบบตาราง

เพื่อให้เห็นภาพรวมของเงินอุดหนุนและเงื่อนไขต่างๆ ได้อย่างชัดเจน สามารถสรุปข้อมูลสำคัญของมาตรการ EV 3.5 ได้ดังตารางต่อไปนี้

สรุปเงินอุดหนุนและเงื่อนไขหลักภายใต้มาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า EV 3.5 (พ.ศ. 2567-2570)
ประเภทยานยนต์ ราคาสูงสุด (บาท) ขนาดแบตเตอรี่ (kWh) เงินอุดหนุน (บาท)
รถยนต์ไฟฟ้า (≥ 50 kWh) 2,000,000 ≥ 50 ปี 67: 100,000 / ปี 68: 75,000 / ปี 69-70: 50,000
รถยนต์ไฟฟ้า (< 50 kWh) 2,000,000 < 50 ปี 67: 50,000 / ปี 68: 35,000 / ปี 69-70: 20,000
รถกระบะไฟฟ้า (ผลิตในประเทศ) 2,000,000 ≥ 50 100,000 (ตลอดโครงการ)
รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 150,000 ≥ 3 10,000 (ตลอดโครงการ)

ผลกระทบต่อตลาดและแนวโน้มยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต

การอนุมัติมาตรการ EV 3.5 ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนจากภาครัฐถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจังและต่อเนื่อง คาดว่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกในหลายมิติ ประการแรกคือการกระตุ้นยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากส่วนลดและสิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วยลดภาระของผู้บริโภคและทำให้ราคารถ EV ใกล้เคียงกับรถยนต์สันดาปภายในมากขึ้น

ประการที่สอง มาตรการนี้จะดึงดูดการลงทุนจากผู้ผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนระดับโลกให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงื่อนไขการผลิตชดเชยที่จะบังคับให้ผู้นำเข้าต้องเริ่มผลิตรถยนต์ในประเทศตามอัตราส่วนที่กำหนด สิ่งนี้จะนำไปสู่การสร้างระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้าที่แข็งแกร่ง ตั้งแต่การผลิตแบตเตอรี่ มอเตอร์ไฟฟ้า ไปจนถึงการประกอบรถยนต์ทั้งคัน ก่อให้เกิดการจ้างงานและพัฒนาทักษะแรงงานในประเทศ

ในระยะยาว มาตรการนี้จะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในภาคขนส่ง ลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิง และช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เร็วขึ้น ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามือสองจะเริ่มก่อตัวขึ้น และสถานีชาร์จสาธารณะจะขยายตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับจำนวนรถ EV ที่เพิ่มขึ้น

รายชื่อรุ่นรถยนต์ไฟฟ้าที่คาดว่าจะได้รับสิทธิ์

แม้ว่าจะยังไม่มีการประกาศรายชื่อรุ่นรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการอย่างเป็นทางการ แต่จากเงื่อนไขด้านราคาไม่เกิน 2,000,000 บาท และข้อกำหนดด้านขนาดแบตเตอรี่ สามารถคาดการณ์ได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นยอดนิยมในตลาดปัจจุบันและรุ่นใหม่ ๆ ที่กำลังจะเปิดตัว จะมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์และเข้าร่วมมาตรการ EV 3.5 เป็นจำนวนมาก

กลุ่มรถยนต์ที่มีแนวโน้มสูงที่จะเข้าร่วมโครงการ ได้แก่:

  • กลุ่มแบตเตอรี่ ≥ 50 kWh: รถยนต์ในกลุ่มนี้มักเป็นรุ่นมาตรฐานหรือรุ่นที่มีระยะทำการไกล (Long Range) เช่น BYD Atto 3, GAC Aion Y Plus, ORA Good Cat GT, และ MG ZS EV เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะได้รับเงินอุดหนุนสูงสุดตามเกณฑ์
  • กลุ่มแบตเตอรี่ < 50 kWh: รถยนต์กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นรุ่นเริ่มต้น หรือ City Car ที่เน้นความคล่องตัว เช่น NETA V-II, BYD Dolphin (รุ่น Standard Range), และ ORA Good Cat (รุ่นเริ่มต้น) ซึ่งจะได้รับเงินอุดหนุนในอัตราที่รองลงมา

ทั้งนี้ ผู้บริโภคควรติดตามการประกาศอย่างเป็นทางการจากค่ายรถยนต์แต่ละแบรนด์อีกครั้ง เพื่อยืนยันรุ่นและราคาจำหน่ายสุทธิหลังจากหักเงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว

บทสรุปและทิศทางนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าของไทย

การที่ ครม. เคาะส่วนลด EV 3.5 นับเป็นหมุดหมายสำคัญที่ยืนยันถึงทิศทางที่ชัดเจนของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน มาตรการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการให้เงินอุดหนุนเพื่อลดราคาขายปลีก แต่เป็นนโยบายเชิงโครงสร้างที่ครอบคลุมทั้งด้านอุปสงค์ (ผู้ซื้อ) และอุปทาน (ผู้ผลิต) ผ่านการผสมผสานระหว่างเงินอุดหนุน สิทธิประโยชน์ทางภาษี และเงื่อนไขการลงทุนในประเทศ

ด้วยกรอบเวลาที่ชัดเจน 4 ปี มาตรการนี้จะสร้างความเชื่อมั่นและช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายสามารถวางแผนระยะยาวได้ ทั้งผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจซื้อรถยนต์คันใหม่ และผู้ประกอบการที่กำลังพิจารณาขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อรถยนต์ไฟฟ้า การทำความเข้าใจเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์จากมาตรการ EV 3.5 ถือเป็นข้อมูลสำคัญเพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างรอบคอบและเลือกซื้อยานยนต์ที่เหมาะสมกับความต้องการได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

Similar Posts