ภาษี EV ใหม่ 2569 กระทบราคา? ซื้อตอนนี้หรือรอดี
- สรุปประเด็นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงภาษี EV ปี 2569
- เจาะลึกโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ปี 2569
- ตารางเปรียบเทียบอัตราภาษี PHEV ก่อนและหลังปี 2569
- ผลกระทบต่อตลาดและราคารถยนต์ PHEV
- วิเคราะห์กลยุทธ์การซื้อ: ซื้อตอนนี้หรือรอดี?
- เป้าหมายเบื้องหลังนโยบายภาษีใหม่ของภาครัฐ
- สรุปและข้อเสนอแนะสำหรับผู้ที่กำลังตัดสินใจ
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยานยนต์เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น การประกาศปรับโครงสร้างภาษีใหม่สำหรับรถยนต์ Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคและทิศทางของตลาดในอนาคต
สรุปประเด็นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงภาษี EV ปี 2569
- การปรับโครงสร้างภาษี: ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 รัฐบาลจะปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ PHEV โดยแยกออกจากกลุ่มรถยนต์ Hybrid Electric Vehicle (HEV) อย่างชัดเจน
- เกณฑ์ใหม่คือระยะทางวิ่งไฟฟ้า: อัตราภาษีใหม่จะถูกกำหนดโดยพิจารณาจากระยะทางที่รถยนต์สามารถวิ่งได้ด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวต่อการชาร์จหนึ่งครั้งเป็นเกณฑ์หลัก
- ผลกระทบต่อราคา: รถ PHEV ที่มีระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าไม่ถึง 80 กิโลเมตร จะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับขึ้นของราคาจำหน่ายปลีก
- การส่งเสริมเทคโนโลยี: นโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ผู้ผลิตพัฒนารถยนต์ PHEV ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลขึ้น เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและลดมลพิษ
- จุดตัดสินใจของผู้ซื้อ: ผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อรถ PHEV ต้องเผชิญกับคำถามสำคัญว่าควรตัดสินใจซื้อภายใต้โครงสร้างภาษีปัจจุบัน หรือรอการเปลี่ยนแปลงในปี 2569 เพื่อทางเลือกที่อาจคุ้มค่ากว่า
ประเด็นเรื่องภาษี EV ใหม่ 2569 กระทบราคา? ซื้อตอนนี้หรือรอดี จึงกลายเป็นหัวข้อที่ผู้สนใจเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการปรับตัวเลขทางภาษี แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนจากภาครัฐเกี่ยวกับทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในอนาคต ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น การทำความเข้าใจในรายละเอียดของโครงสร้างภาษีใหม่ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และเป้าหมายของนโยบาย จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถวางแผนและตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและสอดคล้องกับความต้องการของตนเองมากที่สุด
เจาะลึกโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ปี 2569
การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีในปี 2569 ถือเป็นการปฏิรูปโครงสร้างครั้งสำคัญสำหรับกลุ่มรถยนต์ PHEV ในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดกลุ่มยานยนต์ตามประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และสร้างแรงจูงใจให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า
นิยามและหลักการของมาตรการใหม่
มาตรการภาษีสรรพสามิตใหม่นี้มุ่งเน้นไปที่รถยนต์ประเภท Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) ซึ่งเป็นยานยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายในและมอเตอร์ไฟฟ้า โดยแบตเตอรี่สามารถชาร์จไฟได้จากแหล่งพลังงานภายนอก หลักการสำคัญของนโยบายใหม่คือการเปลี่ยนเกณฑ์การพิจารณาอัตราภาษี จากเดิมที่อาจอ้างอิงกับขนาดเครื่องยนต์หรือการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหลัก มาสู่การใช้ “ระยะทางที่สามารถวิ่งได้ด้วยไฟฟ้า (Electric Range)” เป็นตัวชี้วัดหลักเพียงอย่างเดียว
แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า ประโยชน์สูงสุดของรถยนต์ PHEV ในด้านการประหยัดพลังงานและลดมลพิษจะเกิดขึ้นเมื่อรถยนต์ถูกใช้งานในโหมดไฟฟ้า (EV Mode) เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น รถยนต์ที่สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลกว่า ย่อมหมายถึงศักยภาพในการลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและลดการปล่อยมลพิษที่สูงกว่า จึงควรได้รับการสนับสนุนทางภาษีมากกว่า
เกณฑ์กำหนดอัตราภาษีใหม่: ระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าคือหัวใจสำคัญ
โครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่สำหรับรถยนต์ PHEV ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป ได้กำหนดอัตราภาษีไว้ 2 ระดับ โดยใช้ระยะทาง 80 กิโลเมตรเป็นเส้นแบ่ง ดังนี้:
- PHEV ที่มีระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าตั้งแต่ 80 กิโลเมตรขึ้นไปต่อการชาร์จ 1 ครั้ง: จะถูกจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในอัตรา 5%
- PHEV ที่มีระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าต่ำกว่า 80 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง: จะถูกจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในอัตรา 10%
การกำหนดเกณฑ์ที่ 80 กิโลเมตรนี้สอดคล้องกับแนวโน้มของมาตรฐานสากลและสะท้อนถึงการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันของผู้คนส่วนใหญ่ ซึ่งมักเดินทางในระยะทางที่ไม่ไกลมากนัก รถ PHEV ที่มีระยะทางวิ่งไฟฟ้าเกิน 80 กิโลเมตร จะสามารถครอบคลุมการเดินทางในแต่ละวันได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องยนต์เลย ทำให้เกิดประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังผู้ผลิตรถยนต์ให้มุ่งเน้นการพัฒนาแบตเตอรี่และระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อให้ผ่านมาตรฐานและได้รับประโยชน์จากอัตราภาษีที่ต่ำกว่า
ตารางเปรียบเทียบอัตราภาษี PHEV ก่อนและหลังปี 2569
เพื่อให้เห็นภาพผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีใหม่ได้อย่างชัดเจน การเปรียบเทียบอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ PHEV ก่อนและหลังวันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่สนใจสามารถประเมินทิศทางของราคาและวางแผนการซื้อได้อย่างเหมาะสม
ประเภทรถยนต์ PHEV (ตามระยะทางวิ่งไฟฟ้า) | อัตราภาษีสรรพสามิต (ก่อน 1 ม.ค. 2569) | อัตราภาษีสรรพสามิต (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2569) |
---|---|---|
วิ่งไฟฟ้าได้ < 80 กม./ชาร์จ | (อัตราเดิมอาจเทียบเท่าหรือต่ำกว่ารถยนต์สันดาปปกติ) | 10% |
วิ่งไฟฟ้าได้ ≥ 80 กม./ชาร์จ | (อัตราเดิมอาจเทียบเท่าหรือต่ำกว่ารถยนต์สันดาปปกติ) | 5% |
ผลกระทบต่อตลาดและราคารถยนต์ PHEV
การปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ PHEV บางกลุ่ม ย่อมส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนของผู้ผลิตและผู้นำเข้า ซึ่งท้ายที่สุดแล้วภาระดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคผ่านราคาจำหน่ายปลีกที่สูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ตลาดรถยนต์ PHEV เกิดการแบ่งกลุ่มที่ชัดเจนขึ้น
กลุ่มรถยนต์ที่ราคาอาจปรับตัวสูงขึ้น
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ รถยนต์ PHEV ที่มีระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าต่ำกว่า 80 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง รถยนต์ในกลุ่มนี้จะต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่ 10% ซึ่งสำหรับบางรุ่นอาจหมายถึงภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับโครงสร้างเดิม ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือ:
- ราคาจำหน่ายปลีกเพิ่มขึ้น: ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายมีแนวโน้มที่จะปรับราคารถยนต์ในกลุ่มนี้ขึ้นเพื่อชดเชยต้นทุนทางภาษีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้ความน่าสนใจของรถกลุ่มนี้ลดลงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
- การตัดสินใจของผู้บริโภค: ผู้บริโภคอาจหันไปพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น รถยนต์ไฮบริด (HEV) ที่มีราคาต่ำกว่า หรือขยับไปเลือกรถยนต์ PHEV ที่มีสเปคสูงขึ้นเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากอัตราภาษีที่ต่ำกว่า หรือแม้กระทั่งเลือกรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) ไปเลย
กลุ่มรถยนต์ที่อาจได้รับประโยชน์และมีราคาที่น่าสนใจขึ้น
ในทางกลับกัน รถยนต์ PHEV ที่มีระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าตั้งแต่ 80 กิโลเมตรขึ้นไป จะได้รับประโยชน์จากอัตราภาษีที่ต่ำเพียง 5% ซึ่งจะทำให้รถยนต์กลุ่มนี้มีความได้เปรียบในการแข่งขันสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผลที่ตามมาคือ:
- ความสามารถในการแข่งขันด้านราคา: ผู้ผลิตสามารถตั้งราคาที่น่าดึงดูดใจมากขึ้นสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูงกลุ่มนี้ ทำให้ช่องว่างราคาระหว่างรุ่นที่วิ่งได้ไกลกับรุ่นที่วิ่งได้สั้นแคบลง หรืออาจจะสลับกันในบางกรณี
- ตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภค: ผู้ซื้อจะได้รับรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า สามารถใช้งานในโหมดไฟฟ้าได้จริงจังมากขึ้น ในราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของนโยบายภาครัฐ
ทิศทางของผู้ผลิตและรุ่นรถยนต์ใหม่ในอนาคต
นโยบายภาษีใหม่นี้จะเป็นตัวเร่งให้ค่ายรถยนต์ต่างๆ ต้องปรับกลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการทำตลาดในประเทศไทย คาดว่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้:
- การเปิดตัวรถ PHEV รุ่นใหม่: ผู้ผลิตจะเร่งพัฒและเปิดตัวรถยนต์ PHEV รุ่นใหม่ๆ ที่เน้นการทำระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าให้เกิน 80 กิโลเมตร เพื่อให้เข้าเกณฑ์ภาษี 5%
- การปรับปรุงรุ่นเดิม: รถยนต์ PHEV รุ่นปัจจุบันบางรุ่นที่ยังทำระยะทางได้ไม่ถึง 80 กิโลเมตร อาจได้รับการปรับปรุง (Minor Change หรือ Model Year Update) โดยการเพิ่มขนาดแบตเตอรี่หรือปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อน
- การยุติการทำตลาดบางรุ่น: สำหรับรถยนต์รุ่นที่ไม่สามารถปรับปรุงให้ผ่านมาตรฐานใหม่ได้ และไม่คุ้มค่าที่จะจำหน่ายในอัตราภาษี 10% อาจถูกทยอยยุติการทำตลาดในประเทศไทยไปในที่สุด
วิเคราะห์กลยุทธ์การซื้อ: ซื้อตอนนี้หรือรอดี?
สำหรับผู้บริโภคที่กำลังวางแผนจะซื้อรถยนต์ PHEV คำถามสำคัญคือควรจะเร่งตัดสินใจซื้อก่อนสิ้นปี 2568 หรือควรรอจนกว่าโครงสร้างภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ คำตอบของคำถามนี้ขึ้นอยู่กับประเภทและคุณสมบัติของรถยนต์ที่สนใจเป็นหลัก
เหตุผลที่ควรพิจารณาซื้อรถ PHEV ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2569
การตัดสินใจซื้อรถยนต์ภายใต้โครงสร้างภาษีปัจจุบันอาจเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด หากรถยนต์ที่อยู่ในความสนใจนั้นเข้าข่ายดังต่อไปนี้:
- สนใจรถ PHEV ที่มีระยะทางวิ่งไฟฟ้าต่ำกว่า 80 กม.: หากรถยนต์รุ่นที่ต้องการมีคุณสมบัติด้านอื่นๆ ที่ตอบโจทย์การใช้งานเป็นอย่างดี แต่มีข้อจำกัดด้านระยะทางวิ่งไฟฟ้า การซื้อก่อนปี 2569 จะช่วยให้ได้รถในราคาที่ต่ำกว่าอย่างแน่นอน เนื่องจากหลังการปรับโครงสร้างภาษี ราคาของรถรุ่นนี้มีแนวโน้มสูงขึ้นจากภาระภาษี 10%
- พบข้อเสนอและโปรโมชั่นที่น่าสนใจ: ในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนที่นโยบายใหม่จะมีผลบังคับใช้ ตัวแทนจำหน่ายอาจมีการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายเพื่อระบายสต็อกรถยนต์รุ่นเก่า การซื้อในช่วงเวลานี้อาจทำให้ได้ราคาที่ดีที่สุด
สถานการณ์ที่การรอคอยอาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า
ในทางกลับกัน การชะลอการตัดสินใจและรอจนถึงปี 2569 อาจเป็นประโยชน์มากกว่าในสถานการณ์ต่อไปนี้:
- ต้องการรถ PHEV ที่มีระยะทางวิ่งไฟฟ้าสูง (≥ 80 กม.): หากเป้าหมายคือการได้รถยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงและสามารถใช้งานในโหมดไฟฟ้าได้อย่างเต็มที่ การรออาจทำให้มีตัวเลือกของรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์ภาษี 5% ซึ่งอาจมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ดีกว่าและราคาที่แข่งขันได้มากขึ้น
- ต้องการเห็นภาพรวมของตลาดที่ชัดเจนขึ้น: การรอให้ตลาดปรับตัวหลังนโยบายใหม่บังคับใช้ จะทำให้เห็นภาพรวมของราคาและตัวเลือกรถยนต์ในแต่ละกลุ่มได้ชัดเจนขึ้น ทำให้สามารถเปรียบเทียบและตัดสินใจได้อย่างรอบคอบกว่า
- ไม่รีบใช้งานรถยนต์: หากยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการใช้รถ การรอคอยเพื่อติดตามการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ และโปรโมชั่นหลังการปรับโครงสร้างภาษีอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่คุ้มค่ากว่าในระยะยาว
เป้าหมายเบื้องหลังนโยบายภาษีใหม่ของภาครัฐ
การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ PHEV ในครั้งนี้ ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐ แต่เป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่สำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า
การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีขั้นสูง
เป้าหมายหลักประการหนึ่งคือการสนับสนุนให้เกิดการใช้ยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง การกำหนดเกณฑ์ระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาเลือกรถยนต์ที่สามารถใช้งานในโหมดไฟฟ้าได้ยาวนานขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและฝุ่น PM2.5 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศและของโลก
การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
นโยบายนี้ยังทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศต้องลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าขั้นสูง เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของยานยนต์ไฟฟ้า การมีผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลจะช่วยรักษาและยกระดับสถานะของประเทศไทยในฐานะฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์ที่สำคัญของภูมิภาค (Detroit of Asia) ต่อไปในอนาคต
สรุปและข้อเสนอแนะสำหรับผู้ที่กำลังตัดสินใจ
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ PHEV ในปี 2569 เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญซึ่งจะส่งผลให้ตลาดรถยนต์เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าเป็นเกณฑ์ชี้วัดหลักในการกำหนดอัตราภาษี รถยนต์ที่มีระยะทางวิ่งไฟฟ้าต่ำกว่า 80 กิโลเมตรจะเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงขึ้น ในขณะที่รถยนต์ที่มีระยะทางวิ่งไฟฟ้าตั้งแต่ 80 กิโลเมตรขึ้นไปจะได้รับประโยชน์จากอัตราภาษีที่ต่ำกว่า
สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อรถยนต์ การตัดสินใจว่าจะซื้อตอนนี้หรือรอต่อไปนั้นไม่มีคำตอบที่ตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับการประเมินความต้องการของตนเองเป็นหลัก ข้อเสนอแนะสำหรับประกอบการตัดสินใจคือ:
- ประเมินความต้องการและรุ่นรถที่สนใจ: สำรวจว่ารถยนต์ PHEV รุ่นที่ต้องการนั้นมีระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าเท่าใด หากต่ำกว่า 80 กิโลเมตร การซื้อก่อนสิ้นปี 2568 อาจเป็นทางเลือกที่ประหยัดกว่า
- ติดตามข่าวสารและการเปิดตัวรถรุ่นใหม่: หากไม่รีบเร่ง การรอติดตามสถานการณ์ตลาดในปี 2569 อาจทำให้พบกับรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าและราคาที่คุ้มค่าภายใต้โครงสร้างภาษีใหม่
- เปรียบเทียบความคุ้มค่าในระยะยาว: นอกเหนือจากราคาซื้อ ควรพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและค่าบำรุงรักษาในระยะยาว รถยนต์ที่มีระยะทางวิ่งไฟฟ้าไกลกว่าอาจมีราคาสูงกว่าเล็กน้อย แต่สามารถช่วยประหยัดค่าเชื้อเพลิงได้มากกว่าในอนาคต
ท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินใจที่ดีที่สุดมาจากการศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านและพิจารณาให้สอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิต งบประมาณ และความต้องการส่วนบุคคล เพื่อให้ได้รถยนต์ที่ตอบโจทย์และคุ้มค่าที่สุดในยุคเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยียานยนต์