ai generated 47

รัฐบาลอุ้ม EV! สรุปมาตรการภาษี-เงินอุดหนุนล่าสุด

สารบัญ

รัฐบาลไทยได้ประกาศนโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นที่มาของหัวข้อ รัฐบาลอุ้ม EV! สรุปมาตรการภาษี-เงินอุดหนุนล่าสุด โดยมาตรการเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการใช้งานและการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ทำให้ราคาจำหน่ายเข้าถึงง่ายขึ้น และผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในระดับภูมิภาค

  • รัฐบาลมอบเงินอุดหนุนสำหรับผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสูงสุด 150,000 บาทต่อคัน ขึ้นอยู่กับขนาดความจุของแบตเตอรี่
  • มีการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากเดิม 8% เหลือเพียง 2% เพื่อทำให้ราคาจำหน่ายสุดท้ายลดลง
  • ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ (BEV) ในประเทศไทยช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
  • มาตรการสนับสนุนครอบคลุมยานยนต์ไฟฟ้าหลายประเภท ทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถกระบะ และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
  • แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนมีบทบาทสำคัญในตลาด โดยครองส่วนแบ่งรวมกันมากกว่า 70% สะท้อนถึงการยอมรับของผู้บริโภคชาวไทย

ทำความเข้าใจมาตรการ EV 3.5: อนาคตยานยนต์ไฟฟ้าไทย

มาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า หรือที่รู้จักในชื่อ EV 3.5 เป็นนโยบายต่อเนื่องของภาครัฐที่มุ่งเน้นการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่แข็งแกร่งในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สร้างความมั่นคงทางพลังงาน และส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ให้เป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ นโยบายนี้เป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่านจากยุคของเครื่องยนต์สันดาปภายในไปสู่ยุคของยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืน

ภาพรวมและเป้าหมายของมาตรการ

เป้าหมายหลักของมาตรการสนับสนุน EV คือการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเงินอุดหนุน เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาที่เหมาะสมยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็สร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตยานยนต์เข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยมากขึ้น รัฐบาลตั้งเป้าหมายให้เกิดการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้าในระยะยาว ซึ่งจะช่วยสร้างงาน สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วนไปจนถึงการพัฒนาสถานีอัดประจุไฟฟ้า

ใครคือผู้ได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้

ผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากมาตรการนี้มีหลายกลุ่ม กลุ่มแรกคือผู้บริโภคทั่วไปที่กำลังพิจารณาซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากราคาจำหน่ายที่ลดลงผ่านเงินอุดหนุนและการลดหย่อนภาษี กลุ่มที่สองคือผู้ประกอบการและผู้ผลิตยานยนต์ ทั้งที่นำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปและที่ลงทุนตั้งโรงงานผลิตในประเทศ จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิต นอกจากนี้ มาตรการยังครอบคลุมยานยนต์ไฟฟ้าหลากหลายประเภท ไม่จำกัดเฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคล แต่ยังรวมถึงรถกระบะไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งช่วยขยายฐานผู้ได้รับประโยชน์ให้กว้างขวางขึ้น

เจาะลึกสิทธิประโยชน์หลัก: ภาษีและเงินอุดหนุน

หัวใจสำคัญของมาตรการสนับสนุน EV คือการใช้เครื่องมือทางการคลังสองประเภท ได้แก่ การลดหย่อนภาษี และการให้เงินอุดหนุนโดยตรง ซึ่งทั้งสองส่วนทำงานร่วมกันเพื่อลดต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้เกิดความน่าสนใจและสามารถแข่งขันกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในได้

การลดหย่อนภาษี: อากรขาเข้าและภาษีสรรพสามิต

มาตรการด้านภาษีประกอบด้วยสองส่วนหลัก ส่วนแรกคือการลดอากรขาเข้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตและประกอบในประเทศ ซึ่งมีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ลดอากรขาเข้าสูงสุดถึง 40% ในช่วงปี 2565-2566 ซึ่งเป็นมาตรการต่อเนื่องมา ส่วนที่สองและเป็นส่วนสำคัญคือการลดอัตราภาษีสรรพสามิต จากเดิมที่จัดเก็บในอัตรา 8% ได้มีการปรับลดลงเหลือเพียง 2% เท่านั้น โดยมีผลตั้งแต่ปี 2565 จนถึงปี 2568 การลดภาษีส่วนนี้ส่งผลโดยตรงต่อราคาขายปลีก ทำให้ผู้ผลิตสามารถตั้งราคาจำหน่ายที่จูงใจผู้บริโภคได้มากขึ้น

เงินอุดหนุนโดยตรงสำหรับผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV)

นอกเหนือจากการลดหย่อนภาษีแล้ว รัฐบาลยังมอบเงินอุดหนุนเป็นเงินสดโดยตรงแก่ผู้ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ที่เข้าร่วมโครงการ เงินอุดหนุนนี้จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเริ่มต้นของผู้ซื้อได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยจำนวนเงินอุดหนุนจะแตกต่างกันไปตามขนาดความจุของแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่สะท้อนถึงเทคโนโลยีและต้นทุนของรถยนต์แต่ละรุ่น มาตรการนี้ถือเป็นแรงจูงใจที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งในการตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคจำนวนมาก

รายละเอียดเงินอุดหนุนตามขนาดแบตเตอรี่

เพื่อความชัดเจนในการให้สิทธิประโยชน์ รัฐบาลได้กำหนดเกณฑ์การให้เงินอุดหนุนโดยอ้างอิงจากขนาดความจุของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่มีต้นทุนสูงที่สุดในรถยนต์ไฟฟ้า การแบ่งเกณฑ์เช่นนี้ช่วยให้การสนับสนุนมีความเหมาะสมกับระดับราคาและเทคโนโลยีของรถยนต์แต่ละประเภท โดยมีรายละเอียดดังแสดงในตารางต่อไปนี้

ตารางสรุปเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ตามมาตรการรัฐบาลล่าสุดปี 2568-2569
ขนาดความจุของแบตเตอรี่ (kWh) เงินอุดหนุนสูงสุดต่อคัน (บาท) ประเภทรถยนต์ที่เกี่ยวข้อง
10 – 30 kWh 70,000 รถยนต์นั่งส่วนบุคคล
มากกว่า 30 kWh 150,000 รถยนต์นั่งส่วนบุคคล และ รถกระบะ

จากตารางจะเห็นได้ว่า รถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดแบตเตอรี่ใหญ่กว่า ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลกว่าและมีราคาสูงกว่า จะได้รับเงินอุดหนุนในจำนวนที่มากกว่า โดยเงินอุดหนุนสูงสุดอยู่ที่ 150,000 บาท สำหรับรถยนต์ที่มีแบตเตอรี่ขนาดเกิน 30 kWh ขึ้นไป ซึ่งครอบคลุมรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่จำหน่ายในตลาดปัจจุบัน

ภาพรวมตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยปี 2568

ภาพรวมตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยปี 2568

มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐได้ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยอย่างชัดเจน ทำให้ตลาดมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคชาวไทย ควบคู่ไปกับความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาทำตลาดมากขึ้น

การเติบโตและส่วนแบ่งการตลาด

ข้อมูลล่าสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่น่าประทับใจของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) โดยมียอดจดทะเบียนรถ BEV ใหม่สูงถึง 57,289 คัน ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตถึง 52% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ตัวเลขดังกล่าวยังทำให้สัดส่วนของรถ BEV ขยับขึ้นเป็น 15% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมดในประเทศ ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญว่ายานยนต์ไฟฟ้ากำลังกลายเป็นกระแสหลักในตลาดรถยนต์ไทย

อิทธิพลของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีน

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาด EV ในไทยคือการเข้ามาทำตลาดอย่างจริงจังของแบรนด์ผู้ผลิตจากประเทศจีน ซึ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีทันสมัย ดีไซน์ที่น่าสนใจ และระดับราคาที่แข่งขันได้ ส่งผลให้ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว

ข้อมูลทางการตลาดชี้ชัดว่าแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยแบรนด์อย่าง BYD สามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้มากถึง 40% และเมื่อรวมกับแบรนด์อื่น ๆ จากจีนแล้ว จะมีส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของไทยรวมกันมากกว่า 70% เลยทีเดียว

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขันของแบรนด์จีนและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวไทยต่อคุณภาพและเทคโนโลยีของยานยนต์ไฟฟ้าจากจีน ซึ่งมีส่วนช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้เร็วขึ้น

บทสรุปและทิศทางตลาดยานยนต์ไฟฟ้าไทย

โดยสรุป มาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลผ่านการลดหย่อนภาษีและมอบเงินอุดหนุนโดยตรง ถือเป็นนโยบายที่ประสบความสำเร็จในการกระตุ้นตลาดและสร้างการรับรู้ในวงกว้าง สิทธิประโยชน์เหล่านี้ช่วยลดอุปสรรคด้านราคา ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น และส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ทิศทางในอนาคตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าไทยยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐที่ชัดเจน การเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ ๆ และความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น มาตรการสนับสนุนเหล่านี้จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ที่กำลังวางแผนซื้อรถยนต์คันใหม่ควรนำมาพิจารณา เพื่อใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์สูงสุดที่ภาครัฐมอบให้ในช่วงเวลานี้ และเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

Similar Posts