หมดฝน! 5 จุดต้องเช็ครถ หลังลุยน้ำมาทั้งซีซั่น
- ความสำคัญของการตรวจสภาพรถยนต์หลังฤดูฝน
- จุดตรวจสอบที่ 1: ระบบเบรก หัวใจของความปลอดภัย
- จุดตรวจสอบที่ 2: ยางรถยนต์ ส่วนเดียวที่สัมผัสถนน
- จุดตรวจสอบที่ 3: ระบบปัดน้ำฝนและน้ำฉีดกระจก ทัศนวิสัยที่ชัดเจน
- จุดตรวจสอบที่ 4: ระบบไฟส่องสว่าง การสื่อสารบนท้องถนน
- จุดตรวจสอบที่ 5: เครื่องยนต์และช่วงล่าง จุดบอบบางที่ถูกมองข้าม
- สรุปแนวทางการดูแลรักษารถยนต์เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย
เมื่อฤดูฝนที่หนักหน่วงผ่านพ้นไป หลายคนอาจรู้สึกโล่งใจ แต่สำหรับยานพาหนะแล้ว นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ การขับขี่ผ่านสายฝนและแอ่งน้ำขังตลอดหลายเดือนอาจสร้างความเสียหายสะสมโดยที่ผู้ขับขี่ไม่ทันสังเกตเห็น การตรวจสอบสภาพรถยนต์อย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
- ระบบเบรก: ความชื้นและสิ่งสกปรกที่มากับน้ำฝนเป็นสาเหตุหลักของสนิมและประสิทธิภาพการเบรกที่ลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรงได้
- ยางรถยนต์: สภาพดอกยางและแรงดันลมที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยึดเกาะถนนและการรีดน้ำ ป้องกันการลื่นไถลในสถานการณ์ฉุกเฉิน
- ระบบปัดน้ำฝนและไฟส่องสว่าง: ทัศนวิสัยที่ชัดเจนเป็นกุญแจสำคัญของความปลอดภัย การตรวจสอบอุปกรณ์เหล่านี้ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็น
- เครื่องยนต์และช่วงล่าง: น้ำและโคลนสามารถเข้าไปสร้างความเสียหายในชิ้นส่วนที่สำคัญได้ การตรวจสอบและทำความสะอาดจะช่วยยืดอายุการใช้งานของรถ
- ความปลอดภัยองค์รวม: การบำรุงรักษาเชิงป้องกันหลังฤดูฝนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ และเตรียมความพร้อมของรถสำหรับทุกสภาพอากาศต่อไป
เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายฤดูฝน เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องให้ความใส่ใจกับการตรวจสอบสภาพรถยนต์อย่างละเอียด การขับขี่ลุยน้ำและเผชิญกับความชื้นต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจส่งผลกระทบต่อส่วนประกอบต่างๆ ของรถยนต์มากกว่าที่คิด การเรียนรู้ว่ามี หมดฝน! 5 จุดต้องเช็ครถ หลังลุยน้ำมาทั้งซีซั่น ใดบ้าง จะช่วยให้สามารถบำรุงรักษารถยนต์ได้อย่างถูกจุด การตรวจสอบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาประสิทธิภาพของรถให้คงเดิม แต่ยังเป็นการป้องกันปัญหาใหญ่ที่อาจตามมา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร รวมถึงช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ให้ยาวนานขึ้น
บทความนี้จะนำเสนอ 5 จุดตรวจสอบหลักที่จำเป็นสำหรับรถยนต์ทุกคันหลังสิ้นสุดฤดูฝน ตั้งแต่ระบบที่มีความสำคัญสูงสุดต่อความปลอดภัยอย่างระบบเบรกและยางรถยนต์ ไปจนถึงส่วนประกอบที่มักถูกละเลยอย่างระบบไฟส่องสว่างและชิ้นส่วนใต้ท้องรถ การทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงและวิธีการตรวจสอบเบื้องต้นจะช่วยให้ผู้ใช้รถสามารถดูแลรักษารถยนต์ของตนเองได้อย่างมั่นใจและเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางในฤดูกาลถัดไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ความสำคัญของการตรวจสภาพรถยนต์หลังฤดูฝน
ฤดูฝนในประเทศไทยมักมาพร้อมกับปริมาณน้ำฝนที่ตกหนักและต่อเนื่อง ทำให้สภาพถนนเต็มไปด้วยน้ำท่วมขังและสิ่งสกปรกต่างๆ เช่น โคลน ทราย และเศษใบไม้ การที่รถยนต์ต้องขับผ่านสภาพแวดล้อมเช่นนี้เป็นประจำย่อมส่งผลกระทบต่อชิ้นส่วนต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความชื้นเป็นศัตรูตัวฉกาจของโลหะ สามารถเร่งกระบวนการเกิดสนิมบนโครงสร้างรถยนต์และชิ้นส่วนสำคัญ เช่น ระบบเบรกและท่อไอเสีย นอกจากนี้ น้ำยังสามารถแทรกซึมเข้าไปในระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เกิดการลัดวงจรหรือทำงานผิดปกติได้
ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับการเตรียมรถให้พร้อมสำหรับหน้าฝน แต่กลับละเลยการตรวจสอบสภาพรถหลังจากที่ฤดูฝนผ่านพ้นไป ซึ่งถือเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะความเสียหายจำนวนมากมักเป็นแบบสะสมและไม่แสดงอาการในทันที การปล่อยปัญหเล็กๆ น้อยๆ ทิ้งไว้อาจนำไปสู่การซ่อมแซมครั้งใหญ่ที่มีค่าใช้จ่ายสูงในอนาคต ดังนั้น การสละเวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อตรวจสอบรถยนต์อย่างละเอียดจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพื่อให้แน่ใจว่ารถยนต์ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์และปลอดภัยสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและพร้อมสำหรับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปในฤดูหนาวและฤดูร้อน
จุดตรวจสอบที่ 1: ระบบเบรก หัวใจของความปลอดภัย
ระบบเบรกคือระบบความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดของรถยนต์ การทำงานที่ผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจหมายถึงความแตกต่างระหว่างการหยุดรถได้อย่างปลอดภัยกับการเกิดอุบัติเหตุที่น่าสลดใจ ในช่วงฤดูฝน ระบบเบรกเป็นหนึ่งในส่วนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากน้ำและความชื้นมากที่สุด การตรวจสอบอย่างละเอียดจึงเป็นขั้นตอนแรกที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด
การละเลยการตรวจสอบระบบเบรกหลังลุยน้ำ อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการหยุดรถลดลงอย่างกะทันหัน ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งในสถานการณ์ฉุกเฉิน
สาเหตุที่น้ำและฝนทำลายระบบเบรก
เมื่อรถยนต์ขับลุยน้ำ ส่วนประกอบของระบบเบรก เช่น จานเบรก คาลิปเปอร์ และผ้าเบรก จะสัมผัสกับน้ำและสิ่งสกปรกโดยตรง ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีหลายประการ:
- การเกิดสนิม: จานเบรกส่วนใหญ่ทำจากเหล็กหล่อ ซึ่งไวต่อการเกิดสนิมอย่างมากเมื่อสัมผัสกับความชื้น แม้สนิมที่ผิวหน้าเพียงเล็กน้อยจะถูกขจัดออกไปเมื่อใช้งานเบรก แต่หากจอดรถทิ้งไว้หลายวันหลังลุยน้ำ สนิมอาจกัดกร่อนลึกลงไป ทำให้ผิวหน้าจานเบรกไม่เรียบ เกิดเสียงดังขณะเบรก และลดประสิทธิภาพในการเสียดทาน
- ความชื้นในน้ำมันเบรก: น้ำมันเบรกมีคุณสมบัติดูดซับความชื้น (Hygroscopic) แม้ระบบเบรกจะเป็นระบบปิด แต่ความชื้นในอากาศหรือน้ำที่กระเซ็นเข้ามาอาจแทรกซึมผ่านซีลยางที่เริ่มเสื่อมสภาพได้ เมื่อน้ำมันเบรกมีความชื้นปะปน จะทำให้จุดเดือดลดต่ำลง เมื่อใช้เบรกอย่างหนักจนเกิดความร้อนสูง น้ำที่ปนอยู่อาจเดือดกลายเป็นไอในระบบ ทำให้เกิดภาวะ “เบรกวืด” (Brake Fade) ซึ่งแป้นเบรกจะจมลึกลงไปและรถไม่หยุดตามที่ควรจะเป็น
- สิ่งสกปรกอุดตัน: โคลน ทราย หรือกรวดขนาดเล็กที่มากับน้ำ สามารถเข้าไปติดค้างอยู่ระหว่างผ้าเบรกกับจานเบรก หรือในกลไกของคาลิปเปอร์เบรกได้ สิ่งสกปรกเหล่านี้จะสร้างรอยขีดข่วนลึกบนจานเบรก ทำให้จานเบรกสึกหรอไม่สม่ำเสมอ และอาจทำให้ลูกสูบเบรกติดขัด ส่งผลให้เบรกทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพหรือเกิดอาการเบรกติด
สัญญาณเตือนและวิธีการตรวจสอบเบื้องต้น
ผู้ขับขี่สามารถสังเกตอาการผิดปกติของระบบเบรกได้ด้วยตนเอง ดังนี้:
- เสียงผิดปกติ: หากได้ยินเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด หรือเสียงเสียดสีเหมือนเหล็กขูดกันขณะเหยียบเบรก อาจเป็นสัญญาณว่าผ้าเบรกหมดหรือมีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่
- อาการสั่นที่พวงมาลัยหรือแป้นเบรก: หากรู้สึกว่าพวงมาลัยหรือแป้นเบรกสั่นขณะชะลอความเร็ว อาจบ่งชี้ว่าจานเบรกคดงอหรือบิดเบี้ยวจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว (เช่น ขับลุยน้ำหลังจากใช้เบรกมาอย่างหนัก) หรือเกิดจากการสึกหรอที่ไม่สม่ำเสมอ
- ระยะเบรกยาวขึ้น: หากรู้สึกว่าต้องเหยียบเบรกลึกกว่าปกติ หรือรถใช้ระยะทางในการหยุดยาวนานขึ้น อาจเป็นสัญญาณของประสิทธิภาพที่ลดลง ซึ่งอาจเกิดจากน้ำมันเบรกเสื่อมสภาพหรือผ้าเบรกที่เปียกชื้น
- รถดึงไปข้างใดข้างหนึ่ง: ขณะเบรก ถ้ารถมีอาการเอียงหรือดึงไปทางซ้ายหรือขวา อาจเกิดจากคาลิปเปอร์เบรกในฝั่งใดฝั่งหนึ่งติดขัด ไม่ทำงาน หรือทำงานได้ไม่เต็มที่
สำหรับการตรวจสอบเบื้องต้น ควรนำรถไปล้างทำความสะอาด โดยเน้นฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าไปบริเวณล้อและซุ้มล้อเพื่อชะล้างโคลนและสิ่งสกปรกออกจากระบบเบรก จากนั้นควรนำรถเข้าศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมที่เชี่ยวชาญเพื่อให้ช่างทำการตรวจสอบอย่างละเอียด ทั้งการวัดความหนาของผ้าเบรกและจานเบรก ตรวจสอบสภาพของท่อน้ำมันเบรก และตรวจวัดระดับความชื้นในน้ำมันเบรกเพื่อพิจารณาเปลี่ยนถ่ายหากจำเป็น
จุดตรวจสอบที่ 2: ยางรถยนต์ ส่วนเดียวที่สัมผัสถนน

ยางรถยนต์เป็นชิ้นส่วนเดียวที่เชื่อมต่อรถยนต์ทั้งคันเข้ากับพื้นผิวถนน ความปลอดภัยในการขับขี่จึงขึ้นอยู่กับสภาพของยางเป็นอย่างมาก ในช่วงฤดูฝน ยางรถยนต์ต้องทำงานหนักเป็นพิเศษในการรีดน้ำออกจากหน้าสัมผัสเพื่อรักษาการยึดเกาะถนนและป้องกันอาการเหินน้ำ (Hydroplaning) การตรวจสอบสภาพยางหลังหมดฝนจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้
การตรวจสอบดอกยางและแรงดันลม
ดอกยางมีหน้าที่หลักในการรีดน้ำออกจากหน้ายาง หากดอกยางมีความลึกไม่เพียงพอ จะทำให้การรีดน้ำไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อขับรถด้วยความเร็วบนถนนที่เปียกแฉะ แผ่นฟิล์มน้ำจะแทรกตัวอยู่ระหว่างหน้ายางกับพื้นถนน ทำให้รถสูญเสียการควบคุมและลื่นไถลได้
- ความลึกของดอกยาง: ตามกฎหมาย ความลึกของร่องดอกยางต้องไม่น้อยกว่า 1.6 มิลลิเมตร แต่เพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยเฉพาะหลังผ่านการใช้งานหนักในหน้าฝน ควรมีความลึกอย่างน้อย 3 มิลลิเมตร สามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ โดยสังเกต “สะพานยาง” หรือแถบเล็กๆ ในร่องดอกยาง (Tire Wear Indicator) หากผิวหน้ายางสึกเสมอเท่ากับสะพานยาง แสดงว่าถึงเวลาเปลี่ยนยางเส้นใหม่แล้ว
- แรงดันลมยาง: การขับรถลุยน้ำหรือผ่านถนนที่ขรุขระอาจทำให้ลมยางรั่วซึมได้โดยไม่รู้ตัว แรงดันลมยางที่อ่อนเกินไปจะทำให้แก้มยางทำงานหนัก เกิดความร้อนสะสมสูง และอาจนำไปสู่การระเบิดของยางได้ ในทางกลับกัน ลมยางที่แข็งเกินไปจะลดพื้นที่หน้าสัมผัสของยางกับถนน ทำให้การยึดเกาะลดลงและระยะเบรกยาวขึ้น ควรตรวจสอบแรงดันลมยางอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และเติมลมให้ได้ตามค่ามาตรฐานที่ระบุไว้ที่ข้างประตูฝั่งคนขับหรือในคู่มือรถ
ความเสี่ยงจากความเสียหายที่มองไม่เห็น
นอกจากการสึกหรอของดอกยางแล้ว สภาพถนนในหน้าฝนมักเต็มไปด้วยหลุมบ่อที่ถูกน้ำบดบัง การขับรถตกหลุมอย่างแรงอาจสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างภายในของยางได้ แม้ภายนอกจะดูปกติก็ตาม
- อาการบวมที่แก้มยาง: ควรสังเกตที่แก้มยางทั้งด้านในและด้านนอก หากพบว่ามีอาการปูดบวมออกมาคล้ายลูกมะนาว แสดงว่าโครงสร้างผ้าใบภายในฉีกขาด ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งและเสี่ยงต่อการระเบิดได้ทุกเมื่อ ควรเปลี่ยนยางเส้นนั้นทันที
- รอยแตกและบาดแผล: ตรวจสอบหารอยแตก รอยบาด หรือรอยฉีกขาดบนหน้ายางและแก้มยาง ซึ่งอาจเกิดจากการกระแทกขอบทางหรือเศษวัสดุมีคมบนถนน แม้แผลจะไม่ลึกถึงชั้นโครงสร้าง แต่ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการรั่วซึมหรือขยายใหญ่ขึ้นในอนาคต
- สิ่งแปลกปลอมที่ตำยาง: สำรวจหน้ายางอย่างละเอียดเพื่อหาสิ่งแปลกปลอม เช่น ตะปู นอต หรือเศษแก้วที่อาจฝังคาอยู่ การดึงออกอาจทำให้ลมรั่วออกมาทันที หากพบเจอ ควรขับรถอย่างช้าๆ ไปยังร้านยางที่ใกล้ที่สุดเพื่อทำการปะซ่อมอย่างถูกวิธี
จุดตรวจสอบที่ 3: ระบบปัดน้ำฝนและน้ำฉีดกระจก ทัศนวิสัยที่ชัดเจน
ทัศนวิสัยในการขับขี่เป็นปัจจัยพื้นฐานของความปลอดภัย ระบบปัดน้ำฝนและน้ำฉีดกระจกเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นเส้นทางได้อย่างชัดเจนในสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย หลังจากทำงานอย่างหนักตลอดฤดูฝน อุปกรณ์เหล่านี้มักเกิดการเสื่อมสภาพและจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบ
การเสื่อมสภาพของยางปัดน้ำฝน
ยางปัดน้ำฝนผลิตจากยางธรรมชาติหรือยางสังเคราะห์ ซึ่งมีความไวต่อปัจจัยแวดล้อม เช่น แสงแดด ความร้อน และฝุ่นละออง การใช้งานอย่างต่อเนื่องในหน้าฝนและการจอดรถตากแดดเป็นประจำจะเร่งให้ยางเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
- ลักษณะของยางที่เสื่อมสภาพ: ยางปัดน้ำฝนที่ดีควรมีความนุ่มและยืดหยุ่น หากพบว่าเนื้อยางมีลักษณะแข็งกระด้าง แตกลายงา หรือฉีกขาด แสดงว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนใหม่แล้ว
- ประสิทธิภาพการปัด: ทดลองเปิดใช้งานที่ปัดน้ำฝน หากปัดแล้วยังมีคราบน้ำเป็นเส้นๆ, เกิดฝ้า, หรือมีเสียงดังครืดคราดเสียดสีกับกระจก แสดงว่ายางไม่สามารถแนบสนิทกับผิวกระจกได้เต็มที่ ทำให้ประสิทธิภาพการรีดน้ำลดลง
- วิธีการดูแลรักษาเบื้องต้น: ควรใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดเช็ดทำความสะอาดคราบฝุ่นและสิ่งสกปรกออกจากใบปัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อยืดอายุการใช้งานและป้องกันไม่ให้เศษทรายขีดข่วนกระจกเป็นรอย
การดูแลรักษาระบบน้ำฉีดกระจก
ระบบน้ำฉีดกระจกมีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเมื่อต้องทำความสะอาดคราบโคลนหรือฝุ่นที่กระเด็นขึ้นมาบดบังทัศนวิสัย
- ระดับน้ำในกระปุก: ตรวจสอบระดับน้ำในกระปุกพักน้ำฉีดกระจกให้อยู่ในระดับที่กำหนดเสมอ ควรใช้น้ำสะอาดหรือน้ำยาสำหรับเติมที่ฉีดกระจกโดยเฉพาะ เพื่อช่วยขจัดคราบมันและสิ่งสกปรกได้ดียิ่งขึ้น หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาล้างจานหรือแชมพู เพราะอาจทำให้เกิดฟองมากเกินไปและทิ้งคราบไว้บนกระจก
- การอุดตันของหัวฉีด: ฝุ่นละอองหรือตะกรันในน้ำอาจทำให้รูของหัวฉีดอุดตันได้ หากพบว่าน้ำฉีดออกมาเบาหรือไม่เป็นฝอย ให้ลองใช้เข็มหรือปลายลวดเล็กๆ ค่อยๆ แหย่เข้าไปในรูเพื่อทำความสะอาด และปรับทิศทางการฉีดให้พ่นไปที่กลางกระจก
จุดตรวจสอบที่ 4: ระบบไฟส่องสว่าง การสื่อสารบนท้องถนน
ระบบไฟส่องสว่างไม่ได้มีไว้เพื่อให้ผู้ขับขี่มองเห็นเส้นทางในเวลากลางคืนเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสื่อสารกับผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ การที่ไฟสัญญาณต่างๆ ทำงานผิดปกติอาจสร้างความเข้าใจผิดและนำไปสู่อุบัติเหตุได้ ความชื้นจากฝนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ระบบไฟเกิดปัญหา
ปัญหาฝ้าและความขุ่นมัวของโคมไฟ
การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความชื้นสูงในฤดูฝนอาจทำให้เกิดฝ้าหรือไอน้ำเกาะอยู่ภายในโคมไฟ ซึ่งเกิดจากการที่ซีลยางขอบโคมไฟเริ่มเสื่อมสภาพและมีรอยรั่วให้น้ำและความชื้นซึมเข้าไปได้ ไอน้ำเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะลดความสว่างของหลอดไฟ แต่ยังอาจทำให้แผงวงจรภายในหรือขั้วหลอดเกิดสนิมและเสียหายได้ในระยะยาว นอกจากนี้ โคมไฟที่ทำจากพลาสติกโพลีคาร์บอเนต เมื่อใช้งานไปนานๆ จะถูกรังสียูวีจากแสงแดดทำลาย ทำให้ผิวหน้าขุ่นมัวและเหลือง ซึ่งส่งผลให้แสงไฟที่ส่องออกมาไม่สว่างเท่าที่ควร
ตรวจสอบการทำงานของไฟทุกดวง
การตรวจสอบระบบไฟควรทำอย่างครอบคลุมทุกตำแหน่ง โดยอาจขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่สองในการช่วยดูสัญญาณไฟต่างๆ ขณะที่เปิดใช้งาน:
- ไฟหน้า: ตรวจสอบการทำงานทั้งไฟต่ำ (Low Beam) และไฟสูง (High Beam) สังเกตว่าความสว่างของทั้งสองข้างเท่ากันหรือไม่ หากข้างใดข้างหนึ่งสว่างน้อยกว่าหรือมีสีผิดเพี้ยนไป อาจเป็นสัญญาณว่าหลอดไฟใกล้จะขาด
- ไฟเลี้ยวและไฟฉุกเฉิน: เปิดไฟเลี้ยวซ้าย-ขวา และไฟฉุกเฉิน (Hazard Lights) เดินดูรอบรถเพื่อให้แน่ใจว่าไฟกะพริบครบทุกดวง ทั้งด้านหน้า ด้านข้าง (ที่กระจกมองข้างหรือแก้มข้าง) และด้านท้าย จังหวะการกะพริบต้องสม่ำเสมอ หากกะพริบเร็วผิดปกติ อาจหมายถึงหลอดใดหลอดหนึ่งขาด
- ไฟท้ายและไฟเบรก: เปิดไฟหรี่เพื่อตรวจสอบไฟท้าย และเหยียบแป้นเบรกค้างไว้เพื่อดูการทำงานของไฟเบรก ไฟเบรกจะต้องสว่างจ้ากว่าไฟท้ายอย่างเห็นได้ชัด
- ไฟตัดหมอก: ตรวจสอบการทำงานของไฟตัดหมอกทั้งหน้าและหลัง (ถ้ามี) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อต้องขับขี่ในสภาพอากาศที่มีทัศนวิสัยต่ำ เช่น ฝนตกหนักหรือหมอกลงจัด
หากพบหลอดไฟดวงใดไม่ติด ควรดำเนินการเปลี่ยนใหม่ทันที และหากพบปัญหาไอน้ำในโคมไฟ ควรนำรถไปให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบรอยรั่วและแก้ไข เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับระบบไฟฟ้าในระยะยาว
จุดตรวจสอบที่ 5: เครื่องยนต์และช่วงล่าง จุดบอบบางที่ถูกมองข้าม
บริเวณห้องเครื่องยนต์และใต้ท้องรถเป็นส่วนที่สัมผัสกับน้ำและสิ่งสกปรกโดยตรงเมื่อขับรถลุยน้ำ แม้จะได้รับการออกแบบมาให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ในระดับหนึ่ง แต่การลุยน้ำท่วมขังในระดับที่สูงเกินไปหรือบ่อยครั้งเกินไป อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงให้กับส่วนประกอบที่สำคัญได้
อันตรายจากน้ำที่เข้าสู่เครื่องยนต์
น้ำสามารถเข้าสู่ห้องเครื่องยนต์ได้หลายทาง และสร้างปัญหาได้แตกต่างกันไป:
- ระบบดูดอากาศ: ท่อดูดอากาศของเครื่องยนต์มักอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างต่ำ หากขับรถลุยน้ำในระดับที่สูงกว่าท่อดูดอากาศ น้ำจะถูกดูดเข้าไปในห้องเผาไหม้พร้อมกับอากาศ เนื่องจากน้ำไม่สามารถถูกบีบอัดได้เหมือนอากาศ จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “ไฮโดรล็อก” (Hydrolock) ซึ่งจะสร้างแรงต้านมหาศาลจนก้านสูบงอหรือหัก สร้างความเสียหายรุนแรงต่อเครื่องยนต์ และมีค่าซ่อมแซมที่สูงมาก ดังนั้น หลังจากการขับลุยน้ำ ควรตรวจสอบไส้กรองอากาศ หากพบว่าไส้กรองเปียกชื้น ควรนำรถเข้าตรวจสอบโดยละเอียดทันที
- ระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์: แม้ว่ากล่องควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECU) และขั้วต่อสายไฟต่างๆ จะมีซีลกันน้ำ แต่เมื่อใช้งานไปนานๆ ซีลอาจเสื่อมสภาพ ความชื้นที่เข้าไปอาจทำให้เกิดการลัดวงจรหรือการทำงานที่ผิดเพี้ยนของเซ็นเซอร์ต่างๆ ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานสะดุดหรือไฟเตือนแสดงขึ้นบนหน้าปัด
การตรวจสอบและทำความสะอาดช่วงล่าง
ใต้ท้องรถเป็นบริเวณที่สะสมโคลนและสิ่งสกปรกได้มากที่สุด หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน ความชื้นที่ถูกกักเก็บไว้จะเร่งให้เกิดสนิมบนแชสซีส์, ท่อไอเสีย, และส่วนประกอบของระบบช่วงล่าง เช่น ปีกนก, ลูกหมาก และโช้คอัพ การล้างอัดฉีดใต้ท้องรถหลังหมดฤดูฝนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อชะล้างคราบสกปรกที่เกาะแน่นออกไป นอกจากนี้ ควรให้ช่างตรวจสอบสภาพของบูชยางและลูกหมากต่างๆ ซึ่งอาจเสียหายหรือจาระบีภายในถูกน้ำชะล้างออกไปจากการขับลุยน้ำ ทำให้เกิดเสียงดังและส่งผลต่อการควบคุมรถ